posttoday

หญิงแกร่งแซงหน้าชายถึงเวลาหมดยุค "เฟมินิสม์"

20 ตุลาคม 2555

หากเอ่ยคำว่า “สตรีนิยม” (เฟมินิสม์) เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงนึกภาพกลุ่มผู้หญิงหัวรุนแรงที่กล้าสลัดผ้าประท้วง

โดย...ณัฐสุดา จิตตปาลพงศ์

หากเอ่ยคำว่า “สตรีนิยม” (เฟมินิสม์) เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงนึกภาพกลุ่มผู้หญิงหัวรุนแรงที่กล้าสลัดผ้าประท้วง หรือไม่ก็ใช้สารพัดวิธีพิสดารเรียกร้องความเสมอภาคระหว่างเพศ

เพราะต้องยอมรับว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการประท้วงของกลุ่มสตรีหลายกลุ่มทั่วโลกได้ยกระดับความ “เอกซ์ตรีม” ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนสามารถแย่งชิงพื้นที่สื่อทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นการเปลือยอกประท้วงของกลุ่มสตรีฟีเมนในยุโรป การล่ามโซ่ชายหนุ่มพร้อมสั่งให้เลียเท้าของกลุ่มหญิงชาวจีน หรือแม้กระทั่งการนุ่งน้อยห่มน้อยเดินขบวน “สลัตวอล์ก” (Slutwalk) ของสาวๆ ทั่วโลกเพื่อต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ปัจจุบันภาพต่างๆ เหล่านี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของคำว่า “เฟมินิสม์” ไปในตัวจนแทบจะบดบังความหมายที่แท้จริงและความสำคัญของ “สตรีนิยม” ขบวนการและแนวคิดสำคัญของโลก ซึ่งถือเป็นตัวการพลิกโฉมบทบาทและสถานภาพของสตรีอย่างสิ้นเชิงจากที่เคยต้อยต่ำกว่าผู้ชาย ถูกเอารัดเอาเปรียบและลิดรอนสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานในชีวิต กลายเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่มีความเสมอภาคเท่าเทียมบุรุษ

หญิงแกร่งแซงหน้าชายถึงเวลาหมดยุค "เฟมินิสม์"

 

เรียกได้ว่าในยุคแห่งความเท่าเทียมกันนี้ “หญิงอกสามศอก” ก็สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้ชายทำได้นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นก้าวสู่บทบาทด้านการเมือง การบริหารองค์กร และไม่เว้นแม้แต่อาชีพการงานชนิดบู๊และบุ๋นที่ในอดีตเคยถูกสงวนไว้สำหรับเพศชายเท่านั้น

ดังนั้น ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมครั้งนี้ ดูเหมือนว่าแทบจะไม่มีช่องว่างหลงเหลืออยู่สำหรับ “สตรีนิยม” อีกต่อไป ถึงขนาดที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า สตรีนิยมกำลังจะตายจากสังคมไปนั่นเอง!

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะผลสำรวจล่าสุดซึ่งจัดทำโดยเว็บไซต์เน็ตมัมส์ เว็บไซต์วางแผนครอบครัวชื่อดังในเมืองผู้ดี พบว่าผู้หญิงเพียง 1 ใน 7 คนเท่านั้น ที่มองตัวเองเป็นผู้เรียกร้องสิทธิสตรี หรือเฟมินิสต์

สอดคล้องกับผลการศึกษาของคณะกรรมการเพื่อสิทธิเสมอภาคของประเทศอังกฤษ ซึ่งพบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่มองว่า สตรีนิยมถึงกาลอวสานไปเรียบร้อยแล้ว เพราะความสำเร็จในการเรียกร้องสิทธิสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมพัฒนา ซึ่งนับว่าเป็นวัตถุประสงค์หลักของขบวนการมาตั้งแต่แรกเริ่ม

“มีผู้หญิงจำนวนน้อยที่ยังคงเชื่อว่า พวกเขามีสิทธิไม่เท่าเทียมผู้ชาย ดังนั้นประเด็นเรื่องความไม่เท่าเทียมระหว่างเพศจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของสังคมอีกต่อไป” รายงานของคณะกรรมการระบุ

หญิงแกร่งแซงหน้าชายถึงเวลาหมดยุค "เฟมินิสม์"

 

ด้าน ชีวอน ฟรีการ์ด ผู้ก่อตั้งเน็ตมัมส์ มองว่า สาเหตุที่หมดยุคของสตรีนิยมนั้น ก็เพราะหญิงยุคใหม่ไม่มองผู้ชายเป็น “ศัตรู” อีกต่อไป โดยแทนที่ปัญหาจะปะทุขึ้นเป็น “ศึกระหว่างเพศ” ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้งในอดีต กลับกลายเป็นว่า ทั้งหญิงและชายมีความสามัคคีกัน และจับมือกับเพื่อสร้างสังคมแห่งความสงบสุข

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ “ไอดอล” ของผู้หญิงที่เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะจากที่เคยชูสุดยอดนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีชาวออสซีอย่าง เจอร์เมน เกรีย เป็นขวัญใจของสตรีเพศ ผลสำรวจกลับพบว่า หญิงยุคใหม่ชื่นชมหญิงเก่งและแกร่งอย่าง เจ.เค. โรว์ลิ่ง นักเขียนผู้ให้กำเนิดพ่อมดน้อย แฮร์รี่ พอตเตอร์ มากกว่าด้วยซ้ำ

ในส่วนของกลุ่มวัยรุ่นทั้งหญิงและชายนั้น ส่วนใหญ่แทบจะไม่เล็งเห็นถึงความสำคัญของสตรีนิยม เพราะโชคดีที่เกิดมาในยุคที่ไม่มีการเหยียดเพศ ในยุคที่สังคมไม่มีการจำกัดบทบาทและสถานภาพของผู้หญิง ต่างกับรุ่นแม่และรุ่นย่าก่อนหน้านี้ โดยวัยรุ่นหญิงมากถึง 1 ใน 5 คน มองว่าความคิดเรื่องสิทธิสตรีล้าสมัย และไม่อินเทรนด์กับเจเนอเรชันของพวกเขาเสียแล้ว

“เฟมินิสซึมไม่มีประโยชน์หรือความสำคัญในสังคมอีกต่อไป เพราะตอนนี้ผู้หญิงก็เลือกตั้งได้ ทำงานได้ในทุกสาขาอาชีพ แถมยังมีกฎหมายคุ้มครองพวกเธออีกมากมาย” วัยรุ่นชายคนหนึ่ง กล่าว

หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ผู้หญิงไม่เหลือข้อเรียกร้องอะไรแล้ว การเดินขบวนเรียกร้องสิทธิต่างๆ บางทีจึงถูกมองเป็นเพียงเรื่องโจ๊กมากกว่าที่จะไปสร้างความกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ยิ่งกว่าไปนั้นก็คือ สตรีนิยมยังถูกมองเป็นสิ่ง “ชั่วร้าย” เพราะมีการนำไปใช้เป็นเครื่องมือทำร้ายผู้ชายนั่นเอง!

ว่ากันว่า ในสังคมตะวันตกโดยเฉพาะในสหรัฐ ประเด็นเรื่องการคุกคามหรือล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงถึงขั้นฟ้องร้องกันเลยทีเดียว

เพราะบทลงโทษนั้นร้ายแรงมาก บรรดานายจ้างและพนักงานชายจึงไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องหรือมองเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องที่เป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ

แม้ในเบื้องต้น สังคมมักเลือกเข้าข้างฝ่ายหญิงในคดีล่วงละเมิดทางเพศ เพราะถูกมองเป็น “เหยื่อ” ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ ทว่าในระยะหลังก็เริ่มมีเสียงเตือนจากผู้เชี่ยวชาญทั้งชายและหญิงว่า ผู้หญิงบางคนอาจใช้ประเด็นเรื่องเพศเป็นเครื่องมือและข้ออ้างเพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นได้

หญิงแกร่งแซงหน้าชายถึงเวลาหมดยุค "เฟมินิสม์"

 

ยกตัวอย่างเช่น กรณีของ พอล โลแกรน ทนายความชาวอังกฤษ วัย 50 ปี ซึ่งเมื่อปีก่อนถูก แคร์รี เอจ เพื่อนร่วมงานสาววัย 29 ฟ้องร้องในข้อหาแสดงพฤติกรรมเข้าข่ายการล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน สร้างความอับอายให้กับครอบครัวของโลแกรนอย่างหนัก รวมทั้งความเสียหายต่อชื่อเสียงและหน้าที่การงาน โดยเจ้าตัวนั้นเผยว่า เคยสิ้นหวังถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย!

ทว่า ในที่สุดโชคก็เข้าข้างโลแกรน เมื่อผลสืบสวนพบว่า ฝ่ายหญิงให้ข้อมูลเท็จ เนื่องจากไม่พอใจที่ได้รับคะแนนประเมินการทำงานต่ำ

เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึง “ด้านมืด” ของการเรียกร้องสิทธิสตรี โดยหากตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีแล้วก็อาจเสี่ยงกลายเป็น “ดาบสองคม” ที่สามารถกลั่นแกล้งและทำลายผู้ชายได้

อย่างไรก็ตาม กลับมีผู้เชี่ยวชาญอีกกลุ่มที่มีความเห็นแตกต่าง โดยกลุ่มนี้มองว่า แท้จริงแล้วสตรีนิยมนั้นไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่มีบทบาทลดน้อยลงเท่านั้นเอง เพราะความสำเร็จในการขบวนการสตรีนิยมยุคแรกได้ส่งผลให้ผู้หญิงในปัจจุบันไม่รู้สึกถูกกดขี่อีกต่อไป ซึ่งก็นับว่าเป็นการก้าวข้าม “หลักชัย” ที่สำคัญของผู้หญิงนั่นเอง

นอกจากนี้ แม้สังคมจะพัฒนาก้าวไกลไปมากในปัจจุบัน ทว่าก็ไม่มีใครสามารถพูดได้เต็มปากว่า ชายและหญิงมีความเท่าเทียมกัน 100% แม้กระทั่งในประเทศพัฒนาแล้วก็ตาม

“ไม่มีวันที่สังคมของเราจะเป็นสังคมยูโทเปียอันแสนเพอร์เฟกต์ ที่ชายและหญิงมีความเสมอภาคทุกประการ ดังนั้นตราบใดยังคงมีหญิงสาวสักคนถูกสังคมเลือกปฏิบัติเพียงเพราะเพศของเธอนั้น ไม่ว่าจะเป็นในสถานที่ทำงาน ที่สาธารณะ หรือสถานที่ลับตาคนก็ตาม สตรีนิยมก็จะเป็นเพื่อนคอยอยู่เคียงข้างเธอเสมอ” นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีคนหนึ่ง กล่าว

ข่าวล่าสุด

โปรแกรมบอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ผลบอลสด วันอังคารที่ 23 ธ.ค. 68