posttoday

พรบ.ล้างมลทิน กับนักการเมืองไทย

01 ตุลาคม 2555

การเอาที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน นับว่าเป็นกรรมร้ายแรงที่ชาวพุทธแท้ไม่กล้ากระทำ จะมีก็แต่พวกพุทธทะเบียนบ้านที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี

โดย...สมผล ตระกูลรุ่ง

การเอาที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน นับว่าเป็นกรรมร้ายแรงที่ชาวพุทธแท้ไม่กล้ากระทำ จะมีก็แต่พวกพุทธทะเบียนบ้านที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี

กรรมอันเกิดจากการใช้ช่องทางกฎหมาย เอาที่ดินที่ คุณยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ทำพินัยกรรมยกให้วัดธรรมิการามวรวิหาร ไปทำสนามกอล์ฟ อัลไพน์ กำลังทยอยส่งผลไปยังผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง วันนี้คุณยงยุทธ วิชัยดิษฐ กำลังได้รับผลของกรรมที่ได้ทำไว้

คุณยงยุทธถือได้ว่าเป็นตำนานหน้าหนึ่งของการเมืองไทย คุณยงยุทธเป็นหัวหน้าพรรคอันดับหนึ่ง ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา แต่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี กลับยกตำแหน่งนายกฯ ให้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งเป็นสมาชิกพรรคไม่กี่เดือน เพียงเพราะเธอเป็นน้องสาวของนักโทษหนีคดีคนหนึ่งเท่านั้น

คุณยงยุทธถูกคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อพก.) กระทรวงมหาดไทย มีมติเมื่อวันที่ 14 ก.ย.นี้ ให้ไล่ออกจากราชการย้อนหลังไปในขณะเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการปลัดกระทรวงมหาดไทย อันเป็นการถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรง

คนธรรมดาที่มีความหนาของหน้าเป็นปกติ ถ้าโดนลงโทษอย่างนี้คงหลบหนีเข้าป่า ไม่กล้าเสนอหน้าผ่านจอผ่านสื่อสารมวลชนให้อับอายขายหน้าทั้งวงศ์ตระกูล มีแต่นักการเมืองไทยเท่านั้น ที่มีความทนทานสูง

ท่านผู้ทรงเกียรติของไทยไม่รู้จักคำว่าสปิริต และยิ่งไม่รู้จักคุณธรรมจริยธรรม เมื่อทำผิดจะอ้างแต่กฎหมายหานักกฎหมายมาให้ความเห็นสนับสนุน โดยเฉพาะดอกเตอร์หรืออดีตผู้พิพากษา

ประเด็นทางกฎหมายกรณีคุณยงยุทธ คือ เมื่อคุณยงยุทธถูกลงโทษย้อนหลังไปก่อนปี 2550 โดยคุณยงยุทธยังไม่เคยได้รับโทษมาก่อนเลย เพราะเกษียณอายุราชการมาก่อนแล้ว แต่เมื่อปี 2550 มีพระราชบัญญัติล้างมลทินออกมาเป็นการล้างมลทินความผิดทางวินัยร้ายแรงด้วย

ฝากฝั่งคุณยงยุทธเลยตีความว่า คุณยงยุทธได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินปี 2550 แล้ว รวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชาก็ออกมาให้ความเห็นในทางเดียวกัน แต่ฝ่ายค้านเห็นว่า คุณยงยุทธยังไม่ได้รับโทษ จึงไม่ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินดังกล่าว จึงเกิดเป็นการวิวาทะทางกฎหมายของทั้งสองฝ่าย

พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2550 มีเพียง 8 มาตรา ซึ่งอ่านเข้าใจเองได้ไม่ยาก ผมขอยกตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (เฉพาะเรื่องโทษทางวินัย) มาให้ท่านผู้อ่านพิจารณาตัดสินกันเอาเอง ดังนี้

“มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้

“ผู้ถูกลงโทษทางวินัย” หมายความว่า ผู้ถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์ เพราะกระทำผิดวินัยตามกฎหมายระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือคำสั่งของกระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ และให้หมายความรวมถึงผู้ถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์ โดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับการถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์ทางวินัย

มาตรา 5 ให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ถูกลงโทษทางวินัยในกรณี ซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 5 ธ.ค. 2550 และได้รับโทษหรือรับทัณฑ์ทั้งหมด หรือบางส่วนไปก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์ทางวินัยในกรณีนั้นๆ”

คำจำกัดความในมาตรา 3 อาจพอตีความได้ว่า ไม่จำเป็นต้องได้รับโทษก่อน ก็ได้รับการล้างมลทินได้ แต่หากดูตามมาตรา 5 กฎหมายใช้คำว่า “และได้รับโทษหรือรับทัณฑ์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน” จะตีความว่าไม่ต้องได้รับโทษคงจะไม่ได้ แม้ศรีธนญชัยก็คงไม่กล้าตะแบง

ถ้ายังไม่ชัดต้องดูหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นการอธิบายหลักการและเหตุผลของการตรากฎหมาย

“หมายเหตุ : เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระชนมพรรษา 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธ.ค. 2550 ซึ่งเป็นมหามงคลกาลอันสำคัญยิ่ง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและให้เกิดสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมควรล้างมลทินให้แก่ผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่างๆ ซึ่งได้พ้นโทษไปแล้ว และผู้ถูกลงโทษทางวินัยของกระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจต่างๆ ซึ่งได้รับการลงโทษทางวินัยไปแล้ว และสมควรให้ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการอันมิใช่เป็นการลงโทษทางวินัยก่อน หรือในวันที่ 5 ธ.ค. 2550 และบรรดาผู้ถูกดำเนินการทางวินัยในกรณีกระทำผิดวินัย ซึ่งผู้บังคับบัญชาได้พิจารณาสั่งยุติเรื่องหรืองดโทษก่อน หรือในวันที่ 5 ธ.ค. พ.ศ. 2550 ให้ผู้นั้นไม่ต้องถูกพิจารณาเพิ่มโทษหรือถูกดำเนินการทางวินัยในกรณีนั้นๆ ต่อไปด้วย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”

วิญญูชนคนธรรมดาที่อ่านและเข้าใจภาษาไทย คงไม่ต้องเสียเวลาไปถามนักกฎหมายที่ไหน

การล้างมลทินก็ดี การอภัยโทษก็ดี กฎหมายมีเจตนาที่จะให้เป็นประโยชน์กับผู้ที่สำนึกผิด เข็ดหลาบต่อการกระทำความผิด เพราะได้รับโทษทัณฑ์มาพอสมควรแล้ว ถ้าไม่เคยได้รับโทษมาก่อนเลย จะรู้สำนึกได้อย่างไร

ความจริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องถกเถียงกันด้วยข้อกฎหมายนี้เลย เพราะความผิดในเรื่องนี้เป็นความผิดทางอาญาที่ต้องติดคุก ประเด็นที่นำขึ้นมาถกเถียงกันเป็นแค่เรื่องทางวินัยของข้าราชการ ซึ่งเป็นโทษที่เบากว่าโทษตามประมวลกฎหมายอาญา และแม้จะได้รับโทษทางวินัยไปแล้ว ไม่ลบล้างความผิดทางอาญา เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องยังมีหน้าที่ต้องดำเนินคดีตามความผิดในทางอาญาแผ่นดินต่อไป

 

ข่าวล่าสุด

เกาะติดเลือกตั้ง69 เจาะสนามกทม.เกมชี้ชะตา 4 พรรคการเมืองใหญ่