posttoday

ความรุนแรงรวมฝูง

29 กันยายน 2555

สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนโลกชอบที่จะอยู่กันเป็นฝูง ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ ต้นไม้ใบหญ้าถ้าไม่อยู่รวมกันเป็นพงเป็นป่าแล้ว

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนโลกชอบที่จะอยู่กันเป็นฝูง ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ ต้นไม้ใบหญ้าถ้าไม่อยู่รวมกันเป็นพงเป็นป่าแล้ว ก็ยากที่จะอยู่รอดหรือยั่งยืนเป็นพืชพันธุ์เหล่านั้นอยู่ได้ เช่นเดียวกันกับสัตว์นานาชนิดที่ยังรักษาเผ่าพันธุ์อยู่ได้ ก็เพราะมีสภาพการเป็นฝูงอย่างเหนียวแน่นนั่นเอง ขณะเดียวกันก็จะทำให้ฝูงมีความเข้มแข็งและขยายขนาดออกไปได้เรื่อยๆ

อริสโตเติล (400 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นคนที่กล่าวว่า “มนุษย์ คือ สัตว์สังคม” นี่คือความเข้าใจที่ลึกซึ้งของปราชญ์โบราณ อริสโตเติลยังอธิบายต่อไปว่า เพราะการที่มนุษย์มารวมกันเป็นสังคม (ที่อริสโตเติลเรียกว่า “สังคมการเมือง”) นี่เอง ที่ทำให้มนุษย์อยู่รอดและมีความก้าวหน้า จากนั้นอีก 2,000 ปีต่อมา (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 17) ปราชญ์อังกฤษชื่อว่า โทมัส ฮอบส์ จึงมาตอกย้ำว่ามนุษย์จำเป็นต้องมาอยู่รวมกัน มิฉะนั้นแล้วมนุษย์จะไม่อาจอยู่รอดได้ เพราะทุกหนแห่งล้วนเต็มไปด้วยภัยอันตราย ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงจำเป็นที่จะต้องมีผู้ปกครอง เพื่อให้ผู้ปกครองดูแลและปกป้องคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ให้

ว่ากันว่าฮอบส์ไม่ได้มองเฉพาะในสังคมมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมองไปถึงสัตว์อื่นๆ ที่มาอยู่รวมกันเป็นฝูงและมีหัวหน้าฝูงคอยคุ้มครองดูแล อีกอย่างหนึ่งนั้นในยุคที่ฮอบส์เติบโต ที่อังกฤษก็อยู่ในยุคสงครามกลางเมืองที่มีการล้มล้างกษัตริย์ ดังนั้นจึงทำให้เขาค่อนข้างจะมองโลกในแง่ร้าย อย่างไรก็ตามวิธีการศึกษาของฮอบส์ก็ได้จุดประกายให้ปราชญ์ในยุคต่อมาสนใจและศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์มากขึ้น รวมทั้งการศึกษาที่เปรียบเทียบสังคมมนุษย์กับสัตว์นั้นด้วย

เมื่อหลายปีก่อน ผู้เขียนได้อ่านบทความเรื่องหนึ่งในนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก กล่าวถึงพฤติกรรมสัตว์ฝูงของผึ้งอันมีแง่มุมที่น่าสนใจอยู่มากเกี่ยวกับการรวมฝูง ที่ในบทความนั้น เรียกว่า Swarming Effect ก่อนอื่นขออนุญาตทบทวนความรู้เกี่ยวกับสังคมผึ้งสักเล็กน้อย ผึ้งมีการแบ่งหน้าที่ออกเป็น 2 ด้าน คือ ด้านการผสมพันธุ์ ขยาย และรักษาเผ่าพันธุ์ กับด้านการหาอาหาร สร้าง และปกป้องรัง โดยด้านแรกอยู่ในความรับผิดชอบของนางพญาผึ้งที่เป็นผึ้งตัวเมียที่สมบูรณ์แบบเพียงตัวเดียวในรัง กับผึ้งตัวผู้อีกจำนวนหนึ่งที่จะต้องคอยทดแทนกันเข้ามาผสมพันธุ์เนื่องจากจะต้องตายไปหลังจากที่ได้ผสมพันธุ์ให้แก่นางพญาผึ้งนั้นแล้ว

ความรุนแรงรวมฝูง

 

ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็นหน้าที่ของผึ้งงานที่แม้จะเป็นผึ้งตัวเมียแต่ก็เป็นตัวเมียที่ไม่สมบูรณ์ เพราะไม่สามารถออกลูกได้ ผึ้งงานจะมีจำนวนมากที่สุดในรังคือราวร้อยละ 90 ผึ้งชนิดนี้จะทำหน้าที่หาน้ำหวานมาป้อนแก่นางพญาผึ้งและผึ้งตัวผู้ทุกตัว รวมทั้งผึ้งอ่อนหรือลูกผึ้งที่กำลังเติบโตนั้นด้วย ส่วนตัวผึ้งงานก็ต้องกินน้ำหวานนั้นด้วยเพื่อถ่ายมูลออกมาเป็นขี้ผึ้งใช้สร้างและซ่อมรังผึ้งนั้นตลอดเวลา ตลอดจนเก็บกวาดทำความสะอาด รวมถึงการทำหน้าที่เป็น “ทหาร” คอยปกป้องคุ้มครองศัตรูไม่ให้มารบกวนและทำลายรัง

ในบทความที่อ้างถึงอธิบายว่า ผึ้งทั้งรังนั้นมีความสัมพันธ์แบบ Swarming Effect คือ ความสามารถในการรวมฝูงโดยไม่ต้องมีการนำ แต่เป็นไปแบบอัตโนมัติเหมือนเป็นกลไกโดยธรรมชาติของผึ้งเมื่ออยู่ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น เมื่อจะออกไปหาน้ำหวานก็ออกไปพร้อมๆ กันและกลับมาพร้อมๆ กัน หรือเวลาที่มีสิ่งรบกวนก็จะรวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงและกลุ้มรุมเข้าทำการป้องกันหรือโจมตีอย่างเข้มแข็ง ทั้งหมดนี้ผู้ที่รับหน้าที่หนักที่สุดก็คือผึ้งงาน ซึ่งต้องมีหน้าที่ทุกอย่างในทุกสถานการณ์เหล่านั้น

นักชีววิทยาที่เขาทำการศึกษาเรื่องนี้ พยายามจะหาคำอธิบายว่า Swarming Effect นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ในที่สุดก็ได้เค้าลางว่าอาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์ เนื่องจากผึ้งทั้งรังนั้นมาจากผึ้งฝูงเดียวกัน เพียงแต่กลายพันธุ์แบ่งหน้าที่เป็น ผึ้งออกลูกคือนางพญาผึ้ง ผึ้งผสมพันธุ์ คือ ผึ้งตัวผู้ และผึ้งผู้ใช้แรงงาน คือ ผึ้งงานนั้น แต่ทั้งหมดก็คือเป็นผึ้งในร่างเดียวกัน กล่าวตรงๆ ก็คือ ทั้งรังผึ้งมีผึ้งเพียงตัวเดียวเท่านั้น โดยมีอวัยวะเป็นผึ้ง 3 พวกดังกล่าว!

ที่จริงแนวคิดเรื่อง “หนึ่งร่าง แยกอวัยวะ แบ่งหน้าที่” มีมากว่า 3,000 ปีแล้ว นั่นคือแนวคิดของพวกที่นับถือศาสนาฮินดูพราหมณ์ ที่มีการแบ่งผู้คนออกเป็นวรรณะต่างๆ 4 พวกด้วยกัน คือ พราหมณ์ กษัตริย์ ไวศย และศูทร โดยคนทั้ง 4 กลุ่ม คือ อวัยวะของพรหมหรือพระเจ้าสูงสุด โดยถือกำเนิดมาจาก ปาก แขน ขา และเท้า ตามลำดับ และที่สอดคล้องต้องกันกับแนวคิดเกี่ยวกับฝูงผึ้งข้างต้นก็คือ แต่ละวรรณะนั้นมีหน้าที่ที่จะต้องทำแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด และการทำหน้าที่ที่สมบูรณ์ของแต่ละวรรณะก็คือต้องกระทำไปโดยไม่ต้องสงสัยในเรื่องใดๆ เป็นต้นว่า กษัตริย์ที่มีหน้าที่ในการรบก็ต้องรบให้รู้แพ้รู้ชนะจนถึงที่สุด อย่างที่ได้เขียนเป็นมหากาพย์ในเรื่องมหาภารตยุทธ ที่เป็นคัมภีร์แห่งการอยู่ร่วมกันของสังคมอินเดียมาแต่โบราณ

อย่างไรก็ตาม ความเป็นมนุษย์ที่มีชื่อว่า “สัตว์ประเสริฐ” หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Homo Sapiens ปัจจัยที่ทำให้มนุษย์แยกออกจากสัตว์อื่นได้ก็คือ ความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้นและการใช้เหตุผล หรือที่เรียกว่า “สติปัญญา” (Intelligence) หรือความฉลาดเฉลียว และด้วยสติปัญญานี่เอง ที่ทำให้มนุษย์มีอำนาจเหนือหรือพัฒนาการที่เจริญก้าวหน้ากว่าสิ่งมีชีวิตอื่น เช่นเดียวกันในหมู่มนุษย์ด้วยกัน หากใครมีความฉลาดเฉลียวมากกว่าก็จะมีฐานะทางสังคมเหนือกว่าหรืออย่างน้อยก็จะมีอำนาจเหนือกว่าคนทั่วไป

นอกจากสติปัญญาแล้ว ปราชญ์ทางด้านรัฐศาสตร์ยังเชื่อว่า “เสรีภาพ” ก็คืออีกหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์อื่น ด้วยเหตุนี้บุคคลใดที่มีความเป็นอิสระหรือทำการใดๆ ได้ตามอำเภอใจ ก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีอำนาจมาก เช่นเดียวกันระบบการเมืองใดที่มีเสรีภาพมาก ประชาชนก็จะมีความสุขและมีความพอใจ ตรงกันข้ามกับระบบการเมืองที่มีการกำกับควบคุมเคร่งครัดที่เรียกว่าเผด็จการ ประชาชนก็จะมีแต่ความทุกข์และคับแค้นใจ ทั้งนี้เพราะผู้คนไร้เสรีภาพหรือไม่มีอิสระในชีวิตนั่นเอง แนวคิดนี้นักเศรษฐศาสตร์ก็นำไปใช้ในทฤษฎีที่ว่า คนยิ่งมีอิสระทางการเงินมากก็จะมีอำนาจมาก อย่างที่เราเคยเห็นในโฆษณาของบัตรเครดิต

หันมามองที่การเมืองไทยในทุกวันนี้ที่มีความขัดแย้งกันอยู่ทั่วไป ทั้งๆ ที่เราต่างก็พยายามที่จะสร้างประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบบการเมืองที่เน้นเรื่องการส่งเสริมเสรีภาพของมนุษย์ แต่ก็ดูเหมือนเราจะไม่รักษาเสรีภาพของเราแต่อย่างใดเลย คนจำนวนมากในประเทศไทยตกอยู่ในวังวนของ Swarming Effect คือเป็นพฤติกรรมของสัตว์ฝูงที่ “ฮือฮา” ไปตามกระแส เหมือนกับมีกรรมพันธุ์ร้ายๆ บางอย่างอยู่ภายใน ที่เมื่อใดก็ตามที่มารวมกันเป็นกลุ่มก็จะแสดงอาการ “กระเหี้ยนกระหือรือ” อยากแสดงความรุนแรงโดยขาดการใช้สติปัญญายั้งคิด

คนไทยที่แบ่งกันเป็นฝักเป็นฝ่ายมักจะออกอาการว่า ทำเพื่อกลุ่มกันเถอะ ไม่ต้องคิดมาก แต่คนเหล่านี้จะรู้ตัวบ้างไหมว่าเรากำลังสูญเสียความเป็นอิสระหรือเสรีภาพนั้นไปหมดแล้ว และเรากำลังมอบความเป็นมนุษย์ให้แก่ซาตานคณะหนึ่งที่เรียกว่า “นักการเมือง” เราขายเสรีภาพให้แก่เขาเพียงเพื่อจะไปร่วมเป็นกลุ่มเดียวกันกับเขา เป็นการยอมรับว่าเป็นสัตว์ฝูงเดียวกันกับเขา แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือยอมรับว่าเป็นร่างเดียวกันกับอสูรเหล่านั้น

คนจำนวนหนึ่งชอบอ้างว่ากำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่เมื่อเขาไม่เป็นตัวของตัวเองและขายเสรีภาพของตนเองไปแล้ว ก็หมดสิ้นความเป็นประชาธิปไตยเสียตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น และยิ่งใช้ความมัวเมาลุ่มหลงอย่างไม่ลืมหูลืมตาเข้าทำลายล้างพี่น้องคนไทยด้วยกัน ก็แย่ยิ่งกว่าสัตว์อื่นๆ ที่เราชอบเอามาด่ากันนั่นเสียอีก

ฟังดีๆ ซิ สัตว์มันกำลังด่ากันเองว่า “ไอ้มนุษย์”

 

ข่าวล่าสุด

"อัครา" ชู “พะเยา…ฮีลใจ : Hidden Story – ฟังเสียงหัวใจ @ปางปูเลาะ” หนุนเศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง