ทัวร์ฉาวเป็นเหตุ"สื่อแดง"ปะทะเดือด
เปิดวิวาทะเดือดสื่อสายเสื้อแดงปม"ขุนค้อนทัวร์อังกฤษ" ประวิตรถามจริยธรรมสื่อร่วมทริป "ชูวัส"สวนเป็นการเปิดโอกาสดูงานเจอโลกกว้าง
เปิดวิวาทะเดือดสื่อสายเสื้อแดงปม"ขุนค้อนทัวร์อังกฤษ" ประวิตรถามจริยธรรมสื่อร่วมทริป "ชูวัส"สวนเป็นการเปิดโอกาสดูงานเจอโลกกว้าง
โดย...ทีมข่าวการเมือง
กลายเป็นปมร้อนกระตุกต่อมจริยธรรมสื่อมวลชน ปัญญาชน สายเสื้อแดง จากกรณี สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาใช้งบประมาณ 7 ล้านบาทนำคณะผู้ติดตามและเครือข่าย เสื้อแดง บินลัดฟ้าศึกษาดูงานตามโปรแกรม 3 ประเทศ อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยียม ตั้งแต่วันที่ 19-27 ก.ย.
นอกจากตารางทัวร์สุดหรูดูบอลพรีเมียร์ลีกส์แล้ว ประเด็นที่โดนวิจารณ์อย่างหนัก คือ การเลือกสื่อมวลชนเข้าร่วมทริปอันเต็มไปด้วยสื่อฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลอย่าง วอยซ์ทีวี จักรพันธุ์ ยมจินดาจาก อสมท.และ แม็กซีมา เทเลวิชชั่น รวมถึงนักวิชาการสายแดงอย่าง พิชญ์ พงศ์สวัสดิ์ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและ ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บรรณาธิการเว็บไซต์สำนักข่าวประชาไท 2 พิธีกรจากรายการ Wake Up Thailand ทางวอยซ์ทีวีเช่นกัน
วิวาทะเดือดในโลกออนไลน์ครั้งนี้เปิดฉากโดย ประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น และปัญญาชนเสื้อแดง ที่แสดงจุดยืนเรียกร้องให้ แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มี งานเขียนลงมในเว็บไซต์ประชาไทหลายชิ้น
ล่าสุด ประวิตร ออกมาเขียนบทความโจมตีและตั้งคำถามถึงจริยธรรมของสื่อแดงด้วยกัน ที่เข้าร่วมทริปในหัวข้อ “การศึกษาดูงานครั้งนี้เป็นการติดสินบนสื่อโดยใช้ภาษีของประชาชนหรือไม่?” (http://www.prachatai.com/journal/2012/09/42819)
ประวิตร ระบุว่า ตารางทัวร์มูลค่า 7 ล้านบาท หรือ 1.8 แสนต่อหัวนั้นไม่คุ้มค่ากับภาษีประชาชนที่เสียไปเพื่อแลกมาซึ่งการเยี่ยมชมรัฐสภา สำนักข่าวบีบีซี และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดเพียงไม่กี่ชั่วโมง ในขณะที่หลายกิจกรรมในทริปกลับไม่เกี่ยวข้องกับงานด้านรัฐสภา แต่เน้นไปที่การท่องเที่ยวและรับประทานร้านอาหารหรู รวมถึงพักโรงแรมระดับสี่ดาว ทั้งที่งบประมาณ7 ล้านบาทหากใช้เป็นทุนคัดเลือกนักข่าวสายรัฐสภาดีเด่นไปศึกษาหรืออบรมทำข่าวรัฐสภาในต่างประเทศน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า
“การจัดท่องเที่ยว ‘ดูงาน’ อย่าง อู้ฟู่และฉาบฉวยเช่นนี้ เป็นการใช้งบแผ่นดินจากภาษีประชาชนอย่างไม่คุ้มค่าและขาดความโปร่งใสและเป็น ธรรมต่อสื่อฝั่งที่ต่อต้านรัฐบาลและต่อนักข่าวสายรัฐสภา เข้าข่ายเป็นทริปตบรางวัล ติดสินบน หรือไม่ก็ซื้อใจสร้างความเกรงใจสื่อ สมควรที่องค์กรรัฐอย่าง ป.ป.ช.และผู้ตรวจการแผ่นดินจะตรวจสอบ องค์กรสื่อ และสมาคมสื่อที่เกี่ยวข้องควรตรวจสอบและมีรายงานต่อสาธารณะเช่นเดียวกัน”
ประวิตร ระบุตอนหนึ่งว่า หนึ่งเดียวในองค์กรสื่อร่วมทริปที่ถูกจัดว่ามาจากองค์กรที่ถูกมองว่าไม่สนับสนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์คือ นพภัฒน์จักร อัตตนนท์ จากเนชั่นทีวี แต่นพภัฒน์จักรตัดสินใจไม่ร่วมเดินทาง โดยอธิบายในทวิตเตอร์ เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ว่า “ตอนแรกก็มองว่า น่าจะพอ “ได้งานกลับมา” เพราะจะได้ไปสภาและออกซ์ฟอร์ด แต่พอเห็นตารางเต็มๆ ว่ามีพักผ่อนเยอะ เลยไม่ไป”
ทันทีที่บทความชิ้นนี้เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาไทและมีเดียอินไซด์เอาท์ ชูวัส ในฐานะ 'เจ้าของพื้นที่' เพราะเป็น บก.เว็ปไซต์ประชาไท และหนึ่งในผู้ร่วมทริปหรู ส่งความเห็นข้ามทวีปจากประเทศอังกฤษมาตอบโต้จนสนั่นเว็บบอร์ดแห่งนี้ ว่า จริยธรรมที่ประวิตรตั้งคำถามไม่ได้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข่าวที่ถือว่าออกมาจาก “สำนักปั่นข่าว” เพราะตั้งแต่เดินทางมายังไม่เห็นคนจากวอยซ์ทีวีในทริปตามที่ว่า เนื่องจากบุคคลในรายชื่อ 37 คนไม่ได้ร่วมเดินทางด้วยทั้งหมด ทั้งยืนยันว่าการทัศนศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเชื่อว่าความคิดหัวก้าวหน้าของประวิตรคงไม่ได้มาจากดีเอ็นเอ แต่มาจากการเจอโลกกว้าง สำหรับตัวเองนั้นอาจเรียกได้ว่ามีโอกาส "ดูงาน" เป็นครั้งแรกในชีวิตเหมือนกับคนจำนวนมากในคณะดูงานที่วันๆ เอาแต่ทำงาน ไม่เคยได้มีโอกาสเจอโลกกว้างเหมือนประวิตร
ทั้งนี้ ชูวัส ยังแสดงทรรศนะว่าคนที่ออกเงินไม่ได้มีผลชี้นำต่อความคิดของผู้ร่วมทริปเสมอไป ทั้งยังฝากถึงประวิตรตามประสาเพื่อนว่า กลัวเพื่อนจะกลายเป็นสลิ่ม ?
“คุณประวิตรสวมวิญญาณพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่เมื่อไร ถึงเที่ยวชี้นิ้วด่าไพร่และใครต่อใครว่าซื้อเสียง โดยไม่ได้มองตัวเองเลยว่า ตัวเองยืนอยู่บนโอกาสและความมั่งมีอยู่แล้ว แต่หลักคิดแบบนี้ ตรระกะแบบนี้ คุณประวิตรต้องไม่พลาดสิครับ” ชูวัสโต้
ส่วนประเด็นนักข่าวสำนักข่าวเนชั่นขอถอนตัวนั้น ชูวัส ยังตั้งคำถามว่าสาเหตุที่ถอนตัวนั้นแท้จริงแล้วอยากถามว่าคำตอบแรกต่อการเข้าร่วมโครงการนี้เป็นอย่างไร และขอถามไปยังนักข่าวเนชั่นว่า พาสปอร์ตของเขาได้คืนจากสถานทูตที่ขอวีซ่าหรือยัง?
ประวิตร ในฐานะผู้เคยเจอโลกกว้าง จากการคว้าทุนรัฐบาลอังกฤษศึกษาต่อมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แจงกลับไปว่า ชูวัสคงทราบดีว่าที่วิจารณ์เพราะมีเจตนาดีต่อประชาไทและอยากเห็นประชาไทเป็นตัวอย่างของความโปร่งใส ตรวจสอบวิพากษ์ได้ อย่างไรก็ตามไม่ต้องห่วงว่าตนจะกลายเป็น 'สลิ่ม' เพราะทุกวันนี้พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เป็นเสื้อสีอะไรทั้งนั้น
“โอเค คุณ (ชูวัส) ยืนยันว่าไป 'ดูงาน' ผมก็จะใช้คำว่า 'ดูงาน' ไปก่อนก็แล้วกันแต่ประเด็นหลักของผมคือความโปร่งใส ตรวจสอบได้ของกระบวนการจัดทริป 'ดูงาน' ต่างประเทศด้วยภาษี ประชาชน ว่ามีความเป็นธรรมกับสื่อทุกฝ่าย กับได้ประโยชน์แก่สังคม และใช้เงินไปอย่างคุ้มค่าเพียงไร
และอีกอย่าง ผมคาดหวังให้ประชาไท ในฐานะสื่อทางเลือกที่ประกาศตัวชัดเจนว่ายืนหยัดเพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรม เป็นตัวอย่างที่ดี มีมาตรฐานเหนือกว่าสื่อกระแสหลักทั้งหลายที่เป็นบรรบัทสื่อ (corporate media)อย่างที่เขาพูดกันในภาษา ตกลงมีชูวัสจะช่วยเอา list สื่อที่ไปร่วม 'ดูงาน' ทั้งหมดมาลงตรงนี้ได้ไหม? ทุกคนจะได้เห็นและตัดสินกันเองว่าเป็นอย่างไร
“ขอให้ชูวัสถือเสียว่า การตรวจสอบของผมต่อเรื่องทริป 'ดูงาน' เป็นประโยชน์กับความน่าเชื่อถือของประชาไทเอง เพราะคงจะแทบหาสื่อไหนในไทยไม่ได้ที่จะยอมลงบทความให้คนนอกวิจารณ์ตนเองเช่นนี้
“ผมยังเชื่อมั่นในเจตนาดีของชูวัสต่อสังคม และอุดมการณ์คุณ และก็เชื่อว่าชูวัสเข้าใจดีว่าบทความที่ผมเขียนคือความพยายามในการเปิดประเด็นตรวจสอบ หากคลาดเคลื่อนอะไรบ้างก็ต้องขออภัยด้วยความปราถนาดีจากหนึ่งในสปอนเซอร์ทริป 'ดูงาน' อังกฤษของคุณ ผ่านทางการจ่ายภาษี +กลับบ้านให้ปลอดภัยนะ”
ต่อมา มีผู้ใช้ชื่อว่า นภพัฒน์จักษ์ จากเนชั่น ได้เข้ามาโพสต์ ในกระทู้หน้าเว็บเดียวกันโดยชี้แจงว่า ตอนเที่ยงของวันเดินทางยังได้รับคำตอบจากผู้ที่เชิญว่าได้รับวีซ่าล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ตัดสินใจบอกคนเชิญไปทันทีว่าตัดสินใจไม่ไปแล้ว ซึ่งยืนยันว่าปฏิเสธไม่ไปตั้งแต่ก่อนที่ทริปนี้จะมีข่าวและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว
นภพัฒน์จักษ์ บอกอีกว่า เป็นคนหนึ่งที่เกือบจะตัดสินใจร่วมไปทัวร์ยุโรปในครั้งนี้ แต่รู้สึกถึงความไม่ถูกต้องบางอย่างจึงปฏิเสธไม่ไป แต่ไม่อยากให้ตัดสินว่าสื่อมวลชนที่ร่วมไปกับทริปนี้ว่าเป็นสื่อที่ไม่ดี แต่ควรพิสูจน์กันในระยะยาวว่า สื่อมวลชนเหล่านั้นกลับมาแล้วนำเสนอข่าวจากที่ได้ไปมาอย่างไรบ้าง หรือท่าทีและมาตรฐานการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของสื่อนั้นๆ เปลี่ยนไปอย่างไร
สถานการณ์ล่าสุดในเว็บบอร์ด ชูวัส ยังแสดงความเห็นค้านบทความของ ประวิตร ในประเด็นการชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกส์ว่า การดูบอลถือเป็นการดูงานประเภทหนึ่ง การวิจารณ์ของ ประวิตร ถือว่าเต็มไปด้วยอคติ ตกอยู่ภายใต้กระแส และไม่เป็นตัวของตัวเอง เพียงเพราะการจัดประเภทว่าบอลเป็นเพียงแค่ความบันเทิง
“คุณเห็นอะไรที่สนามแอนฟิลด์ไหม...คุณไม่มีทางเห็นหรืออ่านได้หากไม่สัมผัส คุณไม่มีทางรู้ได้ว่าการต้องลุกยืนลุกยืนนับร้อยๆ ครั้งตลอดการแข่งขันมันบ่งบอกอะไร คนที่นี่เขาไม่รำคาญกันเลยนะครับที่ต้องลุกยืนกันเป็นว่าเล่น เมื่อมีคนขอลุกออกจากแถวที่นั่งไปฉี่หรือไปไหน หรือเมื่อคุณต้องลุกตามเมื่อแถวหน้าลุก คุณรู้ไหมทำไม...ผมว่าอย่ารู้เลยครับ มันก็แค่ความบันเทิง
....แต่ถ้าคุณรู้และรู้ต่อไปด้วยว่า ตั๋วปีหรือที่เรียกว่าซีซั่นทิคเก็ต คืออะไร และทำหน้าที่อะไรในทางสังคมวิทยา คุณจะรู้ว่าทำไมฟุตบอลอังกฤษถึงได้รับความนิยมขนาดนี้ อยากรู้ไหมครับว่าทำไม...อย่ารู้เลยครับ ก็แค่ความบันเทิง
....ขอโทษนะครับความบันเทิงที่คุณไม่นับว่าเป็นการดูงานนี้ สร้างเงินหมุนเวียนขนาดร้อยละ 1.8 ของประเทศอังกฤษซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าประเทศไทยหลายเท่านะครับ
...คุณรู้ไหมเขาเล่นพนันบอลกันอย่างไร และผมจะอธิบายอะไรในประเทศที่คาสิโนและโต๊ะบอลถูกกฎหมายมีอยู่เต็มไปหมด แต่อาชญากรรมกับน้อยกว่าประเทศไทย...อย่ารู้เลยครับ ก็แค่ความบันเทิง
...ขณะที่คุณๆ เรียกมันว่าความบันเทิง สำหรับผมแล้ว นี่คือขุมความรู้เล่มใหม่สำหรับผม ต้องขอขอบคุณ รัฐสภาให้ที่หลับที่นอนวันเสาร์อาทิตย์กับผม และผมก็ตระหนักว่า นี่คือภาษีประชาชน เหมือนที่ผมตระหนักเมื่อครั้งเป็นนักศึกษา เป็นอภิสิทธิชนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยของรัฐ
...ต้องขอขอบคุณด้วยความประทับใจยิ่งกับทีมงานสยามสปอร์ต ที่ทำให้เรารู้จักฟุตบอลว่ามันไม่ใช่ลูกกลมๆและสกอร์บนกระดาน ต้องขอบคุณที่ทำให้เรารู้จักว่า ทีมข่าวที่ฝังตัวทำงานอยู่ที่นั่น ทำงานอย่างไร แต่ผมไม่เล่านะครับ...มันอาจเป็นแค่เรื่องบันเทิง” ชูวัสโพสต์ด้วยลีลาเหน็บแนมพร้อมลงท้ายชื่อตัวเองว่า “อภิสิทธิ์ชนท้ายแถว”
ขณะที่ความเคลื่อนไหวนอกเว็บไซต์ประชาไท มีความเห็นจากนักวิชาการวิพากษ์ทริปนี้เช่นกัน โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักวิชาการสายเสื้อแดงแสดงความเห็นผ่านเฟสบุ๊คว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่ พิชญ์ และ ชูวัส ในฐานะ สื่อ และ นักวิชาการ ไปร่วมทริปดังกล่าว พร้อมระบุว่า ขณะนี้ปัญญาชนเชิงวิพากษ์ (critical intellectuals) หลายคนกำลังอยู่ในอันตรายของการไม่ keep enough critical distance เพียงพอกับรัฐบาล และเสียงต่อการจะกลายเป็นเพียง uncritical supporters ของรัฐบาลมากเกินไป ซึ่งไม่คิดว่าเป็นเรื่องดีสำหรับการเปลี่ยนประเทศให้เป็นประชาธิปไตยในระยะยาว
เช่นเดียวกับ พิชญ์ พงศ์สวัสดิ์ นักวิชาการผู้ร่วมคณะทัวร์ ชี้แจงผ่านเฟสบุ๊คตัวเองขณะอยู่อังกฤษ โดยยอมรับว่า กระบวนการเยี่ยมชมรัฐสภามีปัญหาในการประสานงานของสำนักงานเลขาธิการ สภาฯ จริง แต่เมื่อวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมาทางคณะผู้ร่วมเดินทางนั้นได้เข้าไปเยี่ยมชมรัฐสภาอังกฤษแล้ว โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมงกว่า แต่ยอมรับว่าการดูงานครั้งนี้ไม่ใช่ State visit ของประธานรัฐสภา หรือ การดูงานของคณะกรรมาธิการที่เคยมีมา พร้อมปฏิเสธว่าไม่ได้ไปประเทศเบลเยี่ยมและล่องเรือที่ประเทศฝรั่งเศส นอกเหนือจากวันหยุดจะใช้เวลาในการดูงานและพยายามดูงานในลอนดอนเป็นหลัก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็สิ้นสุดภารกิจที่สังคมจับตา และก็ต้องกลับไปตอบคำถามและตรวจสอบกันอีกมาก


