ธนกิจการเมืองไทย
การเปลี่ยนแปลงในทางเศรษฐกิจและสังคมนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับโครงสร้างจากเศรษฐกิจที่พึ่งพาเกษตรสู่เศรษฐกิจที่พึ่งพาอุตสาหกรรมและบริการ สะท้อนออกมาในรูปของความหลากหลายของกลุ่มผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า นักธุรกิจต่างๆ ฯลฯ
การเปลี่ยนแปลงในทางเศรษฐกิจและสังคมนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับโครงสร้างจากเศรษฐกิจที่พึ่งพาเกษตรสู่เศรษฐกิจที่พึ่งพาอุตสาหกรรมและบริการ สะท้อนออกมาในรูปของความหลากหลายของกลุ่มผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า นักธุรกิจต่างๆ ฯลฯ
ส่งผลให้ระบบการเมืองไทยต้องเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทิศทางการเมืองของประเทศไทยกำลังปรับเปลี่ยนจากระบบอำมาตยาธิปไตย (Bureaucratic Polity) ไปสู่ประชาธิปไตยพหุนิยม (Pluralistic Democracy) ที่เปิดโอกาสให้กลุ่มต่างๆ ในสังคมแข่งขันและสับเปลี่ยนขึ้นมามีอำนาจ โดยไม่เปิดโอกาสให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีการผูกขาดในเชิงอำนาจ
หลังปี 2516 ระบบการเมืองไทยมีลักษณะพลวัต กล่าวคือ เป็นการเมืองที่มีผู้เล่นทางการเมือง (Political Players) มาจากหลายภาคส่วน อาทิ กลุ่มข้าราชการ กลุ่มนักการเมือง กลุ่มนายทุนนักธุรกิจ อย่างไรก็ตาม บทบาทของกลุ่มทุนยังคงจำกัดอยู่เช่นเดิม เป็นเพียงผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินอยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองต่างๆ เท่านั้น
แต่หลังจากที่ชนชั้นกลางในเมืองเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 2535 จนนำไปสู่เหตุการณ์เดือน พ.ค. ปีเดียวกัน และเป็นเงื่อนไขสำคัญที่นำไปสู่การได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2540
รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวเป็นกลไกเปิดช่องให้กลุ่มนายทุนนักธุรกิจก้าวเข้ามาสู่การเมืองแบบเต็มตัว โดยเฉพาะในช่วง พ.ศ. 25442549 เป็นช่วงที่กลุ่มทุนผูกขาดมีบทบาททางการเมืองโดยตรง ด้วยการรวมตัวกันตั้งพรรคการเมือง ลงสมัครรับเลือกตั้ง จนชนะการเลือกตั้งแล้วจัดตั้งรัฐบาลขึ้นภายใต้ตัวแทนของกลุ่มทุนต่างๆ ประกอบกันเป็นคณะรัฐมนตรีบริหารประเทศ
ทั้งนี้ องค์ประกอบของคณะรัฐมนตรีถูกมองว่าเป็นรัฐบาลนายทุน มีลักษณะเป็นพวกพ้อง (Cronyism) และได้อำนาจรัฐมาโดยธนกิจการเมือง (Money Politics)
Money Politics เป็นต้นทุนเพื่อการชนะเลือกตั้ง (Cost of winning elections) ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และอุดมการณ์ทางการเมืองทุนนิยมแบบเสรีประชาธิปไตย ซึ่งครอบงำเศรษฐกิจและการเมืองของโลกในขณะนี้ ทุกอย่างจะต้องเป็นประชาธิปไตย ต้องมาจากการเลือกตั้ง ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าอุตสาหกรรมการเลือกตั้ง (Election Industry)
ในเมื่อเป็นอุตสาหกรรมก็จำเป็นต้องมีเงินลงทุน (Investment) ผู้ที่ลงทุนไปแล้วก็ต้องการผลตอบแทนกลับคืนมา (Return on investment) ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกกำหนดออกมาเป็นเงินทั้งหมด ซึ่งเงินลงทุนจำนวนนี้นับวันแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงจำเป็นต้องมีการสะสมทุนเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป เป็นการปกป้องทุนและแสวงหาโอกาสในการขยายทุนต่อไป จึงเป็นสาเหตุของการคอร์รัปชันเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการต่อไป
ผาสุก พงษ์ไพจิตร (2548) ได้ให้นิยามของคำว่า “ธนกิจการเมือง” (Money Politics) หมายถึงกระบวนการที่นักการเมืองใช้เงินเพื่อผันตัวเองเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรี เพื่อจะได้ใช้อภิสิทธิ์จากตำแหน่งดำเนินการและกำหนดนโยบาย เอื้อให้ตนเองและพรรคพวกแสวงหารายได้และกำไรให้คุ้มกับการลงทุนที่เกิดขึ้น
แหล่งรายได้สำคัญที่ทำธนกิจการเมือง คือ เข้าเกาะกุมและจัดสรรค่าเช่าทางเศรษฐกิจ (Economic Rent) ซึ่งค่าเช่านี้ออกมาในรูปแบบ ใบอนุญาต สัมปทาน เงินอุดหนุน และสิทธิพิเศษต่างๆ ซึ่งอำนาจรัฐจะให้สิทธิต่างๆ เหล่านี้ ทำให้นักการเมืองและพรรคพวกสามารถแสวงหากำไรในอัตราที่มากกว่าระดับปกติที่เกิดขึ้นในตลาดแข่งขันทั่วๆ ไป
กลุ่มทุนคือกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทและแสดงสถานะของตนอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนหรือปรับกลยุทธ์ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
ในประเทศไทยกลุ่มทุนจำแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ กลุ่มนายทุนไทย และกลุ่มนายทุนต่างชาติ ทั้งสองกลุ่มนี้พยายามผลักดันรัฐให้กำหนดนโยบายเป็นผลประโยชน์สนองตอบต่อตนเองหรือพวกพ้องใน 2 ลักษณะใหญ่ๆ
ประการแรก คือ การเป็นผู้ให้การสนับสนุนพรรคการเมืองทั้งในทางตรงและทางอ้อม โดยอาศัยกลไกภายในพรรคการเมืองให้สร้างนโยบายต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่กลุ่ม
ประการที่สอง คือ การที่กลุ่มนายทุนผันตัวเองเข้ามาเป็นนักการเมืองเพื่อผลักดันนโยบายที่เป็นผลประโยชน์ ทั้งนี้ หากพิจารณาให้ดีก็จะพบว่าลักษณะของกลุ่มนายทุนไทยแบบแรกมีรากฐานที่กระทำมานานแล้ว ดังที่เรียกว่าเป็นระบบจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาให้แก่ข้าราชการหรือเจ้าขุนมูลนายในอดีต
เพียงแต่พฤติกรรมในลักษณะนี้ดูมีความชอบธรรมน้อยกว่ารูปแบบการจ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีฐานรองรับจากกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในแง่ที่พรรคสามารถรับเงินสนับสนุนจากผู้บริจาคได้ อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของนายทุนได้เกิดการปรับเปลี่ยนมากขึ้น โดยใช้กลยุทธ์การผลักดันนโยบายทางตรงมากขึ้น โดยผันตนเองหรือตัวแทนของกลุ่มนายทุนเข้ากระทำการ (Active) เอง
ดังจะพบว่าในช่วงเกือบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา สมาชิกพรรคการเมืองจำนวนไม่น้อยมาจากกลุ่มทุนได้ลงเล่นการเมืองด้วยตนเองมีจำนวนมากขึ้น มี สส.จำนวนไม่น้อยที่มีภาพในเบื้องหลังเป็นนักธุรกิจชั้นนำของประเทศมาก่อน กลุ่มธนกิจการเมืองเกิดขึ้นในประเทศไทยด้วยความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างอำนาจการเมืองและอำนาจเศรษฐกิจที่มีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน จากปัจจัยทางสังคมของไทยที่มีระบบรวมศูนย์อำนาจของทั้งสองอำนาจให้เป็นของชนชั้นปกครอง
ทั้งสองกลุ่มมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยกลุ่มผู้ปกครองหรือชนชั้นนำทางการเมืองต้องการแสวงหาความมั่งคั่ง ซึ่งต้องอาศัยกลุ่มพ่อค้านักธุรกิจมาช่วยทำการค้าให้กับตน ขณะที่กลุ่มพ่อค้านักธุรกิจต้องการอำนาจทางการเมืองเพื่อช่วยคุ้มครองหรืออภิสิทธิ์ในทางการค้าของตนด้วย
ความสัมพันธ์ดังกล่าวสะท้อนออกมาในรูปการให้สัมปทานผูกขาดในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน และเกิดพันธมิตรระหว่างพรรคหรือกลุ่มนักการเมืองสายธุรกิจกับข้าราชการ เพื่อร่วมมือกันแย่งชิงอำนาจทางการเมืองและแบ่งปันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระหว่างกัน เกิดปรากฏการณ์ของการคอร์รัปชันบนฐานของการสร้างพันธมิตรระหว่างคนสองกลุ่ม
การคอร์รัปชันจะเกี่ยวข้องกับโครงการเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่ โครงการเหล่านี้เน้นการใช้ทุนเป็นหลัก (Capital Intensive) เช่น โครงการที่รัฐโอนผลประโยชน์ทางการเงินขนาดใหญ่ให้แก่ธุรกิจเอกชน โดยผ่านการทำสัญญาและการให้สัมปทาน โครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นการนำทรัพย์สินของรัฐไปให้แก่คนวงใน
โครงการประเภทนี้เป็นการลดผลประโยชน์ของรัฐ แต่กลับช่วยให้ธุรกิจเอกชนสามารถรักษาอำนาจผูกขาดของตนเอาไว้ได้ ผลที่ติดตามมาคือโครงการมักขาดประสิทธิภาพแต่มีกำไรสูง เกิดคอร์รัปชันเชิงนโยบายในทุกหน่วยงานของรัฐ การกระจายรายได้ของคนในสังคมเลวร้ายลงเรื่อยๆ การเติบโตทางด้านเศรษฐกิจชะลอตัว แต่รายได้และความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นกลับไปกระจุกตัวอยู่กับครอบครัวนักการเมืองที่ทรงอิทธิพลและเครือญาติเพียงไม่กี่ตระกูล
ที่สำคัญก็คือกระบวนการประชาธิปไตยกลายเป็นเพียงภาพลวงตา ระบอบการเมืองการปกครองกลายเป็นระบอบของกลุ่มผลประโยชน์ ทำให้การเมืองในระบอบประชาธิปไตยเสื่อมศรัทธา รัฐบาลและนักการเมืองสูญเสียความชอบธรรม ซึ่งกระทบศรัทธาต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
ธนกิจการเมืองในประเทศไทยเป็นพัฒนาการด้านหนึ่งของบริบทการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากธนกิจการเมืองนอกจากต้องการรักษาธุรกิจของตนเองและครอบครัวแล้ว ยังขยายค่าเช่าทางธุรกิจที่ตนเองและครอบครัวได้ผ่านกลไกระบบเศรษฐกิจเสรี แต่นิยมการผูกขาดและได้รับการปกป้องคุ้มครองจากรัฐบาล
ทำให้การดำเนินธุรกิจขาดความเป็นธรรมและขาดความโปร่งใส และประการสำคัญส่งผลกระทบต่อการจัดสรรทรัพยากรของประเทศที่ไร้ประสิทธิภาพ และผลประโยชน์ไปตกอยู่ในกลุ่มคนที่มีอำนาจทางการเมืองและกลุ่มนายทุน
ด้วยเหตุนี้ ธนกิจการเมืองจึงเป็นกลุ่มธุรกิจการเมืองที่ก่อให้เกิดปัญหาและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมโดยรวมมาโดยตลอด รวมทั้งยังเป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมหลักการและจิตสำนึกของระบบธรรมาภิบาลในประเทศไทยอีกด้วย


