posttoday

โกงภาษี หนีทหาร

01 กันยายน 2555

บทความนี้ไม่ได้เขียนเพื่อซ้ำเติมน้องพลอย หรือพี่มาร์ค แต่อยากแสดงทัศนะทางวิชารัฐศาสตร์เกี่ยวกับ “หน้าที่พลเมือง” หรือ “ความเป็นพลเมือง” อันเป็นหัวใจของระบอบการเมืองรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” อันเป็นระบบที่ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อบ้านเมือง

บทความนี้ไม่ได้เขียนเพื่อซ้ำเติมน้องพลอย หรือพี่มาร์ค แต่อยากแสดงทัศนะทางวิชารัฐศาสตร์เกี่ยวกับ “หน้าที่พลเมือง” หรือ “ความเป็นพลเมือง” อันเป็นหัวใจของระบอบการเมืองรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” อันเป็นระบบที่ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อบ้านเมือง

คนส่วนใหญ่เชื่อว่าหัวใจของระบอบประชาธิปไตยคือการปกครองโดยเสียงข้างมาก หรือการปกครองที่ยึดประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ แต่ถ้าสืบสาวราวเรื่องไปให้ลึกจริงๆ ถึงกำเนิดหรือรากเหง้าของการปกครองระบอบนี้ หัวใจที่แท้จริงควรจะเป็น “ความรับผิดชอบ” หนึ่งในพฤติกรรมของ “การมีส่วนร่วม” อันเป็นพฤติกรรมที่สำคัญที่สุดของระบอบประชาธิปไตย

ในแนวคิดของนักวิชาการตะวันตก ระบุว่า ระบอบประชาธิปไตยของโลกเกิดขึ้นครั้งแรกที่นครรัฐเอเธนส์ เมื่อราว 2,500 ปี โดยชาวเอเธนส์ได้ตกลงใจว่า ถ้าจะดำเนินการใดๆ ในเรื่องของส่วนรวม จะต้องให้คนทั้งหลายยินยอมเสียก่อน อย่างที่ เพอริคลีส (Pericles) ผู้นำชาวเอเธนส์ในยุคนั้น กล่าวว่า “ความจริงของสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยก็คือ รัฐกิจใดๆ คือกิจของส่วนรวม ของคนจำนวนมาก ไม่ใช่ของใครบางคน คือการปฏิบัติด้วยความยุติธรรมและเท่าเทียมกัน”

ในแต่ละปีชาวเอเธนส์ในยุคนั้นจะเลือกคนจำนวน 500 คน มาทำหน้าที่ในการออกกฎระเบียบต่างๆ เพื่อใช้ในเมืองเอเธนส์(ที่ว่ากันว่ามีประชากรอยู่ราว 2-3 หมื่นคน) โดยกฎระเบียบที่ออกมาจาก “สภา 500” ดังกล่าวจะยังประกาศใช้ไม่ได้ เพราะจะต้องให้ “พลเมืองชาวเอเธนส์” ออกเสียงรับรองเสียก่อน (ที่ในสมัยนี้น่าจะเรียกว่าการทำประชามติ) โดยพลเมืองจะมีเฉพาะผู้ชายที่มีอาชีพมั่นคง เป็นผู้นำของครอบครัว และมีที่อยู่หรือที่ทำกินเป็นหลักแหล่ง ส่วนผู้หญิง เด็ก คนจน และทาส ไม่นับเป็นพลเมือง หรือไม่มีสิทธิที่จะโหวตในเรื่องใดๆ

โกงภาษี หนีทหาร

 

มีผู้ให้คำอธิบายต่อมาว่า ทำไมจึงให้เฉพาะผู้ชายที่มีคุณสมบัติครบถ้วนดังกล่าวมีสิทธิในการโหวต รวมทั้งยังมีสิทธิอื่นๆ อีกมาก ซึ่งนักรัฐศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่า “ความเป็นพลเมือง” เหตุผลก็คือ ในยุคโบราณที่มีการก่อร่างสร้างเมืองอย่างระบบนครรัฐ (City State) และเอเธนส์ก็เป็นนครรัฐแห่งหนึ่ง ผู้ชายจะมีบทบาทมาก ทั้งในแง่ของการเป็นกำลังแรงงานและผู้สร้างผลผลิตต่างๆ ในสังคม (การเพาะปลูก การก่อสร้าง การค้าขาย ฯลฯ) แต่ที่สำคัญคือ การเป็นทหารผู้ทำหน้าที่ปกป้องรัฐ (ก็คือนครรัฐแต่ละแห่งนั้น) รวมถึงการเป็นผู้ปกครองในสังคมทุกระดับผู้ชายจึงมีหน้าที่ความรับผิดชอบสูงมาก และหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งหลายนี้คือแก่นแกนของความเป็นพลเมือง

พลเมืองของเอเธนส์ยังต้องมีหน้าที่ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การเสียภาษี แต่แรกก็คงเป็นระบบการรับบริจาค มีมากให้มาก มีน้อยให้น้อย แต่เพื่อจัดระเบียบให้มีความเป็นธรรม ก็คงจะมีการวางโครงสร้างภาษีให้ชัดเจนและเป็นธรรมยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการที่จะนำภาษีไปใช้พัฒนานครรัฐ ดังนี้พลเมืองทุกคนก็จะต้องมีส่วนร่วมในการ “รับผิดชอบ” ต่อส่วนรวมไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างที่อริสโตเติลกล่าวถึงหลักการในเรื่องนี้ไว้ว่า “คนที่ไม่มีส่วนในการทำอะไรให้กับชุมชน ก็ไม่ได้เป็นอะไร ทั้งสัตว์ร้ายหรือพระเจ้า” (to take no part in the running of the community’s affairs is to be either a beast or a god!) แปลว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนในโลกนี้!

300 ปีหลังจากนั้น เมื่อโรมันครองยุโรปก็ได้นำแนวคิดของชาวกรีกมาขยายผล เนื่องจากโรมมีดินแดนอย่างกว้างขวาง ผู้ปกครองที่กรุงโรมจึงเปิดกว้างในการรับคนชาติต่างๆ เข้ามาเป็นพลเมือง กล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือ ใครก็ตามที่เสียภาษี มาเป็นทหาร หรือมาช่วยสร้างสรรค์อะไรแก่กรุงโรม เช่น มาเป็นครูบาอาจารย์ ก็จะได้รับสิทธิของความเป็นพลเมืองชาวโรมัน นี่คงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อาณาจักรโรมันมีความยิ่งใหญ่ คล้ายๆ กับแนวความคิดของบิดาผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ได้กีดกันเรื่องเชื้อชาติ ขอเพียงแต่เป็นคนที่มีประโยชน์และมาช่วยกันสร้างสรรค์ “ลงแรง” ไม่ว่าในทางใดทางหนึ่ง ก็สามารถมีสัญชาติอเมริกัน และที่สุดก็คือ “ความเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกา” ที่ทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่อยู่ในทุกวันนี้

ความเป็นพลเมืองในความหมายคลาสสิกอธิบายว่า ประชาชนจะต้องมีหน้าที่ที่สำคัญอยู่ 3 ประการ คือ หนึ่ง ปฏิบัติตามกฎหมายหรือทำตามคำสั่งของผู้ปกครอง สอง ต้องเสียภาษีหรือเสียสละรายได้เพื่อชาติบ้านเมือง และสาม ปกป้องรักษาอธิปไตยเสียสละได้แม้ชีวิตเพื่อเอกราชของชาติ อย่างกรณีของอิสราเอลที่เคร่งครัดในแนวคิดนี้มาก ถึงขนาดที่ว่าคนอิสราเอลแม้จะอยู่นอกประเทศก็ต้องเสียสละปันส่วนเงินทองมาช่วยมาตุภูมิ ระบบเศรษฐกิจของยิวจึงมีความเข้มแข็งมาก และในปัจจุบันนี้เยาวชนไม่ว่าหญิงหรือชายจะต้องเป็นทหารทุกคน คนละ 2 ปี อิสราเอลแม้จะเป็นประเทศเล็กๆ แต่มีกองทัพที่มหึมามากเมื่อเทียบกันตามสัดส่วน ยิ่งไปกว่านั้น “ภราดรภาพ” หรือความเป็นพี่น้องกันของยิวทั่วโลก ก็ยังพลังที่สำคัญของชาติอิสราเอล

ผู้เขียนรู้จักคำว่าพลเมืองครั้งแรกก็ตอนที่เรียนชั้นประถมในวิชา “หน้าที่พลเมือง” ซึ่งในวิชานี้จะสอนให้เราต้องทำอะไรในฐานะอะไรบ้าง เป็นต้นว่า เป็นเด็กต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ต้องเคารพครูอาจารย์และผู้อาวุโส ต้องตั้งใจเรียน ต้องเป็นเด็กดี มีความกตัญญู มีสัมมาคารวะ รักษาประเพณี ทำบุญตักบาตร ไหว้พระก่อนนอน เคารพธงชาติ ฯลฯ พอเข้ามากรุงเทพฯ ในชั้นประถมปลาย ก็ถูกสอนให้เคารพกฎจราจร การฝึกลูกเสือ การมีระเบียบวินัย ฯลฯ แต่พอชั้นมัธยมกับในมหาวิทยาลัยก็ไม่มีวิชานี้ให้เรียน (ถ้าจะอนุเคราะห์ว่าวิชารักษาดินแดนหรือกิจกรรมการเข้าค่ายเป็นวิชาในแนวหน้าที่พลเมืองสำหรับเยาวชนระดับนี้ก็คงเป็นไปได้) และปัจจุบันนี้เห็นว่าก็ไม่มีวิชานี้แล้ว แต่ไปอยู่ในหมวดวิชารวมที่เรียกว่า “การงานอาชีพ” และเห็นว่าแต่ละโรงเรียนหรือเขตการศึกษาสามารถออกแบบให้เรียนได้ตามเสรี

พอมาเป็นอาจารย์รัฐศาสตร์จึงได้เข้าใจว่า เพราะเหตุใดประเทศไทยจึงมีพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยที่เชื่องช้าและมีความเป็นประชาธิปไตยที่พิกลพิการ มูลเหตุสำคัญก็คือความเฉื่อยชาทางการเมืองของคนไทย ความไม่เอาไหนและไม่สนใจที่จะมีส่วนร่วม ถ้าจะบอกว่าการยึดอำนาจของคณะราษฎรในวันที่ 24มิ.ย. 2475 เป็นการเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบอบประชาธิปไตย ก็เป็นการสรุปความที่ผิดพลาดมาตั้งแต่นั้น เพราะในวันนั้นประชาชนคนไทยไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรมากนัก และหลังจากยึดอำนาจได้แล้ว คณะราษฎรก็ไม่ได้ถ่ายทอดหรือสร้างเสริมอะไรที่เป็นประชาธิปไตยขึ้นมา กลับมีแต่จะรักษาอำนาจจนถูกเรียกว่าเป็น“อำมาตยาธิปไตย”

สังคมไทยเป็นสังคมอำนาจนิยม คือ ชอบในอำนาจวาสนาความยิ่งใหญ่ ไม่เคารพกฎหมาย หรือใครยิ่งละเมิดกฎหมายได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะมีคนนับถือ เพราะนี่คือผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงคนที่ทำธุรกิจก็คิดแต่ทางจะหลีกเลี่ยงภาษี ทำบัญชีจริง บัญชีปลอม จ้างที่ปรึกษาทางภาษีมาทำการซิกแซ็ก รวมทั้งเอาอดีตข้าราชการใหญ่ๆ มาเป็นยันต์กันผีให้แก่บริษัท ลูกท่านหลานเธอนิยมเบ่งอวดประกวดประชันในความใหญ่โตของพ่อแม่ หลักสูตรการอบรมผู้นำหรือนักบริหารทั้งหลายมีไว้สร้างเครือข่ายที่จะเสริมฐานอำนาจของกันและกัน ฯลฯ

วันก่อนผู้เขียนไปประชุมเครือข่ายผู้ปกครองของนักเรียนชั้น ม.6 ของโรงเรียนที่ลูกผู้เขียนเรียนอยู่ ได้ยินพ่อแม่ผู้ปกครองถามกันว่าจะให้ลูกสอบเข้าอะไรที่ไหนบ้าง บางคนบอกว่าลูกเขาเรียนเก่ง แต่ทางโรงเรียนก็ใช้ไปแข่งขันเอารางวัลที่นั่นที่นี่บ้างเพื่อผลงานของโรงเรียน ไม่มีเวลาไปติวสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลย บางคนบอกว่าสู้ของฉันไม่ได้ ลูกฉันก็เรียนเก่ง แต่ฉันให้มันกวดวิชาอย่างเดียว มันจะได้ไม่พลาดเมื่อเวลาที่ไปแอดมิชชัน

เฮ้อ เห็นคนที่ไม่สนใจเรื่องของส่วนรวมแล้ว สงสารประเทศไทยจริงๆ

ข่าวล่าสุด

ครม. ทบทวน EV3 เพิ่มความยืดหยุ่น หนุนไทยสู่ฐานผลิต EV โลก