ถึงไม่ปลอมก็ขอ(สินเชื่อ)ไม่ง่าย
หลายวันก่อน เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยว่า
โดย...สมชาย สกุลสุรรัตน์
หลายวันก่อน เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยว่า ได้ลงนามอนุมัติดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ธนาคารของรัฐ กรณีปล่อยสินเชื่อวงเงิน 7,500 ล้านบาท ให้เอกชนที่ใช้ตั๋วสัญญาปลอมในการสั่งซื้อข้าวจากสวิตเซอร์แลนด์มาค้ำประกันเงินกู้
เผอิญมีสื่อมวลชนที่รู้จักกันโทรศัพท์มาถามเรื่องนี้ว่า ตั๋วสัญญาสั่งซื้อข้าวที่นำมาใช้ค้ำประกันเงินกู้หน้าตาเป็นอย่างไร และทำไมธนาคารของรัฐถึงปล่อยเงินกู้ให้เอกชนตั้ง 7,500 ล้านบาท โดยยอมรับตั๋วสัญญาที่ว่า ซึ่งปลอมอีกต่างหากเป็นหลักประกันเงินกู้
พูดจริงๆ ครับ ผมก็ไม่ทราบว่าตั๋วสัญญาสั่งซื้อข้าวคืออะไร และก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันว่า ทำไมธนาคารของรัฐถึงยอมปล่อยสินเชื่อหลายพันล้านบาทให้เอกชนโดยมีแค่ตั๋วสัญญาในการสั่งซื้อข้าวปลอมเป็นหลักประกัน
เท่าที่ผมรู้จัก ตั๋วเงินที่ใช้เงินในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศในการส่งออกและนำเข้าสินค้า ได้แก่ ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ลูกหนี้ออกให้เจ้าหนี้เพื่อเป็นหลักฐานในการกู้ยืมหรือซื้อขาย (Promissory Note -P.N.) หรือตั๋วเงินที่เจ้าหนี้ออกให้ลูกหนี้รับรองความเป็นหนี้ (Accept) ที่เรียกว่า Bill of Exchange- B.E. ส่วนตั๋วสัญญาสั่งซื้อสินค้าไม่เคยได้ยินครับ ถ้าเป็นนวัตกรรมใหม่ก็ขออภัยด้วย
ผมเข้าใจว่า ตั๋วสัญญาสั่งซื้อข้าวที่พูดถึงน่าจะหมายถึง “ใบสั่งซื้อสินค้า” (Purchase Order -P.O.) ที่ผู้สั่งซื้อสินค้าออกให้ผู้ขาย และผู้ขายในกรณีนี้น่าจะได้แก่ผู้ส่งออก นำมาแสดงกับธนาคารว่า ได้รับคำสั่งซื้อข้าวจากผู้ซื้อในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อขอสินเชื่อจากธนาคารไปซื้อข้าวเพื่อส่งออกตามใบสั่งซื้อที่เรียกว่าสินเชื่อเพื่อส่งออก (Packing Credit) ผิดถูกอย่างไรไม่ทราบเพราะไม่เห็นเอกสาร
ทีนี้ลองสมมติว่า ตั๋วสัญญาสั่งซื้อคือใบสั่งซื้อ ผู้ส่งออกจะนำมาใช้เป็นหลักฐานขอสินเชื่อได้หรือไม่ คำตอบคือทำได้ และโดยปกติธนาคารจะขอให้ลูกค้าที่มาขอสินเชื่อแสดงหลักฐานการซื้อขาย หรือใบสั่งซื้ออยู่แล้ว แต่เป็นการขอเพื่อเป็นแค่หลักฐานประกอบการพิจารณาปล่อยสินเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ขอมาเป็นหลักประกันในการปล่อยสินเชื่อ
เพราะฉะนั้น ถามว่า ผู้ส่งออกสามารถนำใบสั่งซื้อไปเป็นหลักประกันวงเงินสินเชื่อได้ไหม คำตอบคือไม่ได้ ยกเว้นกรณีที่ผู้ขอสินเชื่อมีเครดิตดี ค้าขายมานานปี เป็นที่เชื่อถือของธนาคารเป็นพิเศษ หรือมีการจดจำนองหลักทรัพย์อื่น เช่น ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างเป็นหลักประกัน หรือไม่ก็มีการจำนำเงินฝากหรือสต๊อกสินค้าเป็นประกัน ตามแต่จะตกลงกัน
ทีนี้ถามว่า ทำไมธนาคารถึงไม่รับใบสั่งซื้อเป็นหลักประกันวงเงินสินเชื่อ คำตอบคือ ใบสั่งซื้อเป็นแค่หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ผู้ซื้อแจ้งให้ผู้ส่งออกหรือผู้ขายทราบว่า มีความประสงค์ที่จะซื้อสินค้า กรณีนี้คือข้าว ในปริมาณและมูลค่าตามที่ระบุในใบสั่งซื้อ ถ้าผู้ขายส่งสินค้าไปให้แล้ว ผู้ซื้อเบี้ยวไม่ยอมรับสินค้า หรือรับแต่ไม่จ่ายเงินให้ ผู้ขายต้องไปฟ้องร้องให้ลูกค้าจ่ายค่าสินค้าเอาเอง ซึ่งคงมีโอกาสไม่ได้มากกว่าได้ เพราะถ้าผู้ซื้ออยากจะจ่าย คงจ่ายให้แล้ว ไม่ต้องให้ไปฟ้องร้องให้จ่าย
ทีนี้ถ้าผู้ส่งออกถูกเบี้ยว ไม่ได้รับเงินค่าสินค้า ก็จะไม่มีเงินจ่ายคืนหนี้ให้ธนาคาร ถ้าธนาคารไม่มีหลักประกันอย่างอื่น ก็ต้องฟ้องร้องให้ลูกค้าชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน นี่เองคือสาเหตุที่ธนาคารไม่รับใบสั่งซื้อเป็นหลักประกัน เพราะเมื่อเกิดปัญหาต้องฟ้องร้องให้ลูกค้าชำระหนี้ ใบสั่งซื้อก็มีค่าแค่เศษกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้นเอง อย่างมากก็ใช้พิสูจน์ว่ามีการซื้อขายกันจริง ไม่ได้ทำให้ธนาคารมีบุริมสิทธิ เหนือเจ้าหนี้คนอื่นแต่อย่างใด
ดังนั้น ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่าธนาคารของรัฐปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าสูงถึง 7,500 ล้านบาท โดยมีแค่ใบสั่งซื้อเป็นหลักประกันจริง ถ้าไม่เผอิญลูกค้าเป็นลูกค้าที่มีเครดิตดีสุดๆ หรือมีหลักประกันอื่นจำนองหรือจำนำเป็นหลักประกันแล้ว ต้องถือว่าเป็นการปล่อยสินเชื่อที่ค่อนข้างหละหลวมอย่างที่เลขาธิการ ป.ป.ท.แถลงนั่นแหละครับ ส่วนจะหละหลวมเพราะเหตุใดเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ต่อไป
ที่พูดมาทั้งหมดยังไม่เกี่ยวกับเรื่องตั๋วสัญญาซื้อข้าวปลอม เพราะถ้ามีการปลอม “ตั๋วสัญญาซื้อข้าว” หรือใบสั่งซื้อข้าวจริง เพื่อนำมาใช้เป็นหลักประกันวงเงินสินเชื่อก็คงไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าการปล่อยสินเชื่อหละหลวมหรือไม่ เพราะถ้าปลอมก็คือการกระทำการทุจริต ถ้าเจ้าหน้าที่ของธนาคารไม่ตรวจสอบหลักฐาน หรือตรวจสอบหลักฐานแล้วไม่พบ ถ้าไม่ถือว่าเป็นการร่วมทุจริตก็ต้องถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เพราะการให้สินเชื่อวงเงินสูงระดับหลายพันล้านบาทนั้น เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียดรอบคอบ และความจริงการตรวจสอบว่า “ตั๋วสัญญาซื้อข้าว” หรือใบสั่งซื้อข้าวปลอมหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะมีชื่อมีที่อยู่ของผู้ซื้อให้ตรวจสอบได้อยู่แล้ว
เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจกระบวนการทำงานของสถาบันการเงินเกี่ยวกับการให้สินเชื่อเพื่อส่งออกว่า ธนาคารมีวิธีปฏิบัติอย่างไร ถ้าลูกค้ามีเพียงใบสั่งซื้อสินค้าและต้องการที่จะขอสินเชื่อจากธนาคาร
โดยปกติสำหรับผู้ส่งออกที่ต้องการเงินสินเชื่อเพื่อส่งออก ธนาคารมักจะอนุมัติวงเงินรวมไว้ให้ก่อน เมื่อลูกค้าได้รับออร์เดอร์ก็จะนำหลักฐานการสั่งซื้อมาขอเบิกเงินสินเชื่อไปใช้เป็นคราวๆ ไป ธนาคารจะพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อและการเบิกใช้สินเชื่อให้ลูกค้า โดยใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาเช่นเดียวกับการปล่อยสินเชื่อทั่วไป โดยจะพิจารณาจากเครดิตและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าและมักจะมีการจดจำนองหลักทรัพย์เป็นหลักประกัน ไม่ใช่ใครมีใบสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศจะสามารถนำใบสั่งซื้อมาวางเป็นหลักประกันการกู้ยืม ตามเหตุผลที่ได้พูดถึงก่อนหน้านี้แล้ว
อาจจะมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง ถ้าลูกค้าที่ธนาคารให้ความเชื่อถือนำเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อส่งออก (Export L/C) จากธนาคารต่างประเทศมาใช้เป็นหลักประกันสินชื่อเป็นครั้งคราวโดยไม่มีวงเงินอยู่เดิมหรือได้ใช้วงเงินที่มีจนเต็มพิกัดแล้ว ทั้งนี้เพราะการขายสินค้าโดยมี L/C รองรับนั้นเป็นเครื่องค้ำประกันว่า หากลูกค้าปฏิบัติตามเงื่อนไขส่งสินค้าให้ผู้ซื้อแล้ว ผู้ซื้อไม่ชำระเงิน ธนาคารผู้เปิด L/C จะรับผิดชอบชำระเงินให้
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าใครมี L/C ในมือแล้วจะขอสินเชื่อจากธนาคารได้ เพราะธนาคารจะพิจารณาปล่อยสินเชื่อลักษณะนี้เฉพาะให้ลูกค้าที่มีเครดิตดี และธนาคารมั่นใจว่าลูกค้ามีความสามารถที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขใน L/C ที่ผู้ซื้อเปิดมาให้เท่านั้น ทั้งยังต้องมั่นใจว่าลูกค้าจะไม่นำเงินสินเชื่อไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น นำเงินไปเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ หรือเล่นหุ้น เล่นทอง หรือนำเงินไปจ่ายค่าเบี้ยบ้ายรายทางหรือเงินสินบนให้ใคร แทนที่จะนำเงินไปใช้ซื้อหรือผลิตสินค้าเพื่อส่งออก
ตรงนี้เลยทำให้คนเข้าใจผิดว่า อย่าว่าแต่ใบสั่งซื้อหรือ Purchase Order เลย ขนาดมี L/C ในมือเป็นเครื่องยืนยันการชำระเงินค่าสินค้า ธนาคารยังไม่ยอมปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ส่งออก สารพัดเหตุผลที่ไม่ปล่อยสินเชื่อจึงเป็นเพียงข้อแก้ตัวของนายธนาคาร เพราะการปล่อยสินเชื่อโดยมี L/C เป็นหลักประกัน ไม่น่าจะมีความเสี่ยง
ก็ถูกบางส่วนครับ เพราะการมี L/C เป็นการลดความเสี่ยงทางการค้าลงระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับการขายสินค้าใบสั่งซื้อปกติ แต่ไม่ได้หมายความความเสี่ยงทั้งหลายจะหมดไปเพราะมี L/C
ผมไม่อยากยกตัวอย่างเวอร์ๆ ขนาดว่าถ้าธนาคารที่เปิด L/C เกิดมีอันเป็นไปต้องปิดกิจการ ทำให้ L/C กลายเป็นเศษกระดาษ แล้วผู้ขายจะไปเก็บเงินกับใครมาใช้หนี้ธนาคาร แต่ความเสี่ยงอื่นๆ เช่น ลูกค้าเบิกเงินไปแล้ว นำเงินไปใช้ผิดประเภทอย่างที่ยกตัวอย่างข้างต้น ลูกค้าไม่สามารถหาซื้อหรือผลิตสินค้าส่งออกได้ครบตามคุณภาพและปริมาณที่ผู้ซื้อกำหนดเป็นเงื่อนไขใน L/C ลูกค้าถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องล้มละลาย ลูกค้าไม่ได้ทำประกันสต๊อกสินค้าที่ซื้อเข้ามาเพื่อส่งออก เผอิญเกิดไฟไหม้หรือน้ำท่วมเสียหาย หรือบางทีลูกค้าปิดสำนักงานหายตัวไปเฉยๆ ซึ่งไม่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้น L/C ที่ถือไว้ก็จะมีค่าเท่ากับเศษกระดาษไม่ต่างจากใบสั่งซื้ออยู่ดี
ท่านอย่าคิดว่า ความเสี่ยงทั้งหลายที่พูดถึงเป็นเรื่องไกลตัว เป็นข้อแก้ตัวของนายธนาคารที่ไม่อยากปล่อยสินเชื่อ แต่เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงและทำให้สถาบันการเงินเสียหายมามากต่อมากแล้ว บางกรณีผมเคยมีประสบการณ์ด้วยตัวเอง ทำให้เห็นเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้ามาแล้วว่า สินเชื่อที่ปล่อยไปจะกลายเป็นหนี้เสีย
ที่เล่ามาทั้งหมด เพราะอยากชี้ให้เห็นว่า อย่าว่าแต่การใช้เอกสารปลอมมาขอสินเชื่อเลยครับ ต่อให้ใช้เอกสารจริงมาขอสินเชื่อระดับ 7,000-8,000 ล้านบาท ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย ถ้าเป็นการปล่อยสินเชื่อตามหลักการที่ถูกต้อง
ส่วนกรณีที่เป็นข่าว ว่าใครบางคนสามารถใช้เอกสารปลอมขอสินเชื่อจากธนาคารได้ คงเป็นความสามารถเฉพาะตัว ใครจะถูก ใครจะผิด เหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร ผมไม่อยากคาดเดา คอยดูผลการดำเนินงานของ ป.ป.ท.ต่อไปดีกว่า
ที่แน่ๆ ประชาชนเตรียมเงินไว้เพิ่มทุนให้สถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อที่ว่าดีกว่า ถ้าธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อไปเป็นธนาคารของรัฐ


