ความเสื่อมของพระศาสนา (ตอนจบ)
สวัสดีท่านผู้อ่านที่เคารพ เมื่ออาทิตย์ก่อน MQ ได้นำเอาเรื่องความเสื่อมของพระศาสนาจาก สัมโมหวิโนทนี อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ ซึ่งกล่าวถึงเรื่องความเสื่อมของพระศาสนา โดยจะมีลำดับการอันตรธานไปของพระปริยัติธรรม คือ พระไตรปิฎกเป็นประมาณ
สวัสดีท่านผู้อ่านที่เคารพ เมื่ออาทิตย์ก่อน MQ ได้นำเอาเรื่องความเสื่อมของพระศาสนาจาก สัมโมหวิโนทนี อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ ซึ่งกล่าวถึงเรื่องความเสื่อมของพระศาสนา โดยจะมีลำดับการอันตรธานไปของพระปริยัติธรรม คือ พระไตรปิฎกเป็นประมาณ
การอันตรธานไป คือ ไม่มีใครศึกษา ไม่มีใครรู้ใครเข้าใจ เมื่อพระปริยัติอันตรธาน การปฏิบัติที่ถูกต้อง และผลคือปฏิเวธก็ย่อมอันตรธานไปเช่นกัน
การอันตรธานไปของพระไตรปิฎกก็มีลำดับ โดยเริ่มจากพระอภิธรรมปิฎกอันตรธานไปก่อน จากนั้นก็พระสุตันตปิฎก แล้วสุดท้ายคือพระวินัยปิฎก ซึ่งเมื่อเสื่อมไปทั้งหมดแล้ว แม้การบวชเป็นภิกษุอย่างที่เราเห็นอยู่ก็จะไม่มี จะเหลือเพียงสมณะผู้ครองผ้าขาว ซึ่งไม่อาจจะทรงพระศาสนาไว้ได้ นอกจากการอันตรธานไปของพระปริยัติแล้ว แม้พระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะอันตรธานไปเช่นกัน เมื่อพระศาสนาเสื่อมดังแสดงไว้ในคัมภีร์ดังกล่าวเกี่ยวกับ “ธาตุปรินิพพาน”
เรื่องการปรินิพพานนั้น แสดงไว้ 3 ประการ คือ
กิเลสปรินิพพาน (การดับสนิทแห่งกิเลส)
ขันธปรินิพพาน (การดับสนิทแห่งขันธ์)
ธาตุปรินิพพาน (การดับสนิทแห่งพระธาตุ)
กิเลสปรินิพพาน ได้มีแล้วที่โพธิบัลลังก์ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ขันธปรินิพพานได้มีแล้ว ณ พระนครกุสินารา เมื่อพระพุทธเจ้าทรงดับขันธปรินิพพาน ส่วน ธาตุปรินิพพาน นั้นยังไม่เกิดขึ้น แต่ “จักมีในอนาคตกาล” โดยในคัมภีร์ได้แสดงไว้ว่า
“...ในกาลที่พระศาสนาจะเสื่อมถอย พระธาตุทั้งหลายที่ตัมพปัณณิทวีป (ทวีปลังกา) จักประชุมกัน แล้วเสด็จไปสู่มหาเจดีย์ ต่อแต่นั้นจักไปสู่ต้นไม้ราชายตนะ (ต้นไม้เกด) ในนาคทีปะ จากนั้นจักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์
พระธาตุทั้งหลายแต่นาคพิภพก็ดี แต่พรหมโลกก็ดี จักเสด็จไปสู่มหาโพธิบัลลังก์เท่านั้น พระธาตุแม้ประมาณเท่าเมล็ดผักกาดจักไม่สูญหายไปในระหว่างทาง
พระธาตุทั้งหมดจักประชุมรวมเป็นแท่งเดียวกัน ดุจแท่งทองคำ ณ มหาโพธิบัลลังก์แล้วจักเปล่งออกซึ่งฉัพพัณณรังสี (รัศมีมีวรรณะ 6 ประการ) ฉัพพัณณรังสีนั้นจักแผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุ
ในลำดับนั้น เทวดาในหมื่นจักรวาล จักมาประชุมกัน จักกระทำซึ่งความกรุณาอันยิ่งใหญ่กว่าวันที่พระทศพลปรินิพพาน แล้วจักกล่าวว่า วันนี้ พระศาสดาจะปรินิพพาน วันนี้พระศาสนาจะเสื่อมถอย บัดนี้ การเห็นของพวกเรานี้ เป็นการเห็นครั้งสุดท้ายดังนี้
บุคคลทั้งหมดที่เหลือ ยกเว้นพระอนาคามีและพระขีณาสพแล้ว จักไม่อาจเพื่อทรงไว้โดยภาวะของตน ลำดับนั้น เตโชธาตุในพระธาตุทั้งหลายจักตั้งขึ้นแล้วพวยพุ่งไปถึงพรหมโลก เมื่อพระธาตุแม้มีประมาณเท่าเมล็ดผักกาดยังมีอยู่ เปลวอัคคีหนึ่งเทียวจักมี ครั้นเมื่อพระธาตุทั้งหลายถึงกาลสิ้นสุดลงแล้ว เปลวอัคคีนั้นก็จักดับสนิท ครั้นพระธาตุทั้งหลายแสดงอานุภาพอันใหญ่ด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็อันตรธานไปสิ้น พระศาสนาย่อมชื่อว่าอันตรธานไปแล้ว”
เมื่อนั้นก็จะนับว่าพระศาสนาของพระพุทธเจ้าของเราคือ พระสมณโคดม อันตรธานไป อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เป็นเวลาอีกยาวนานมาก ก็จะเข้าสู่พุทธกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอริยเมตไตย์
เนื่องจากเป็นธรรมดาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่พึงอุบัติขึ้นพร้อมกันสองพระองค์ เพราะไม่มีความอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ล้วนเป็นมนุษย์อัศจรรย์ หากมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นหลายพระองค์ในเวลาเดียวกัน ลาภสักการะย่อมไม่โอฬาร อีกทั้งเพราะพระธรรมเทศนาก็เป็นสภาพที่ไม่แปลกแตกต่างกันเลย ย่อมแสดงธรรมมีสติปัฏฐาน เป็นต้น เหมือนกัน เมื่อมีพระพุทธเจ้าองค์เดียว แม้เทศนาก็ย่อมเป็นอัศจรรย์ แม้สาวกบริษัทก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แตกเป็นสองฝ่าย
ดังนั้น แม้ว่าในอนาคตกาล พระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปจะบังเกิดขึ้นก็ตาม แต่เราชาวพุทธไม่ควรประมาท เพราะพุทธันดรหนึ่งๆ มีความยาวนานมาก ควรเร่งทำความดี ศึกษาพระปริยัติธรรม เพราะการศึกษาพระไตรปิฎกเป็นการดำรงไว้ซึ่งพระศาสนา และปฏิบัติตามเพื่อให้ปฏิเวธเกิดขึ้น ไม่ควรผลัดวันประกันพรุ่งรอแต่พระศรีอริยเมตไตย์จะมาโปรด เพราะหากไม่ทำความดีเสียแต่วันนี้ อาจเสียโอกาสที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา หากเกิดชาตินี้พบพระพุทธศาสนาแล้วยังทำดีไม่ได้ แล้วชาติหน้าต่อๆ ไปจะทำดีได้จริงหรือ ...
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นอิงหลักธรรมะ ท่านสามารถส่งคำถามหรือข้อติชมทาง email มาได้ที่ [email protected]


