ดั่งดวงใจถูกพรากกลางกองเพลิง
จะมีรักไหนยิ่งใหญ่กว่ารักของแม่ ยากดีมีจนแม่เลี้ยงดูลูกได้เสมอ จนมีคำที่กล่าวว่า แม่เลี้ยงลูกได้ทุกคนแต่ลูกทุกคนอาจจะไม่สามารถเลี้ยงแม่ได้
โดย...ธนก บังผล
จะมีรักไหนยิ่งใหญ่กว่ารักของแม่ ยากดีมีจนแม่เลี้ยงดูลูกได้เสมอ จนมีคำที่กล่าวว่า แม่เลี้ยงลูกได้ทุกคนแต่ลูกทุกคนอาจจะไม่สามารถเลี้ยงแม่ได้
มุมหนึ่งของโลก มุมที่แม่หลายคนไม่อยากให้ลูกไป จังหวัดชายแดนใต้ของไทย ผู้กล้าหลายคนลงไปเพื่อทำงานต่างวาระหน้าที่
ใครเคยคิดถึงหัวอกของแม่ผู้ให้กำเนิดบ้างว่า เจ็บปวดแค่ไหนเมื่อลูกต้องเสียชีวิต
17 ก.ย. 2547 รพินทร์ เรือนแก้ว ถูกผู้หลงผิด 4 คน ใช้อาวุธปืนขนาด .38 ยิงเข้าที่บริเวณลำตัวและศีรษะ เสียชีวิตทันที
รพินทร์ ถือเป็นเหยื่อในเหตุการณ์ความไม่สงบแรกๆ ที่ในขณะนั้นไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจนัก
เพ็ญศรี เรือนแก้ว แม่ของ “รพินทร์” เสียงสั่นเครือทุกครั้งที่พูดถึงลูกชายผู้เป็นทั้งความหวังและดวงใจ
“7 ปีแล้วที่แม่เสียลูกไป แม่คิดถึงรพินทร์ทุกวัน และยังคิดถึงอยู่”
ความคิดถึงของแม่คนนี้อาจจะไม่ทำให้ใครรู้สึกว่า การสูญเสียเป็นเรื่องยากเย็นเช่นไร
“เมื่อเช้าแม่ได้ดูข่าวคนที่เป็นนักมวยที่ชื่อ แก้ว พงษ์ประยูร ที่เป็นนักมวยไปแข่งกีฬาโอลิมปิก ตอนที่เขาชกชนะแล้วนักข่าวไปสัมภาษณ์ เขาพูดฝากบอกแม่ว่าผมทำได้แล้ว ตอนนั้นแม่เพิ่งตื่นขึ้นมาได้ยินพอดี น้ำตาไหลเลย คิดถึงตอนที่ลูกแม่สอบผู้พิพากษาแล้วโทร.มาหาแม่ว่า อ้ายสอบเนติบัณฑิตได้แล้ว”
ด้วยภูมิลำเนาแม่เพ็ญศรีเป็นคน จ.เชียงใหม่ และมีลูกเป็นถึงอดีตผู้พิพากษา จ.ปัตตานี แม้เธอจะสูญเสียลูกชายจากเหตุการณ์ความไม่สงบมานานแล้ว แต่ความเป็นแม่ยังคงไม่จาง แต่สิ่งที่จางคือ การเยียวยา
“ตั้งแต่ลูกชายแม่ตายไปเรื่องเยียวยานี่แม่ไม่เห็นจะได้อย่างที่เขาบอกจะให้ มีแต่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เท่านั้นที่ให้ครั้งแรก 5 แสนบาท และปีต่อมาท่านก็ให้มาอีก 5 แสนบาท แม่ก็เอาเงินไปทำศพ แต่ราชการที่ให้มาพ่อกับแม่คนละ 6,000 บาทต่อเดือน ดูแล้วมันก็ไม่คุ้มเลย”
แม่เพ็ญศรี ที่แม้จะสูญเสียลูกชายไปแล้ว แต่ก็ฝากถึง “แม่” ทุกคนที่มีลูกลงไปหรืออยู่ที่จังหวัดชายแดนใต้ ว่า
“ขอให้เข้มแข็ง แม่เอาใจช่วย โดยเฉพาะแม่ที่มีลูกไปทำงานจังหวัดชายแดนใต้แล้วเสียชีวิต แม่เสียใจด้วย เวลาเห็นข่าวแม่ไม่อยากดูเลย เห็นทหารที่ถูกระเบิดน้ำตาไหลดูแล้วสะเทือนใจ เขาทำเพื่อชาติ ตายเพื่อชาติ ถึงวันนี้แม่ก็ยังยืนยันว่า แม่ภูมิใจ เมื่อลูกตายไปแล้วเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็เสียไปแล้ว ได้แต่สวดมนต์ ภาวนา และทำบุญ เราต้องเข้มแข็งประคับประคองชีวิตให้อยู่ได้ เขาทำเพื่อชาติ นั่นคือความภาคภูมิใจของแม่” แม่เพ็ญศรี กล่าว
เป้าใหญ่ของการโจมตีจากกลุ่มผู้ไม่หวังดี ย่อมหนีไม่พ้นทหารตำรวจ
ทองศรี ศรีดอกไม้ แม่ของพลทหารเอกลักษณ์ ศรีดอกไม้ เล่าถึงการจากไปของลูกชายที่ในวันแม่ปีนี้ “ลูกชาย” ไม่ได้กลับมากราบแม่อีกต่อไป เมื่อพลทหารเอกลักษณ์ถูกกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ก่อเหตุยิงกราดเสียชีวิต ขณะที่เขาพร้อมกับเพื่อนทหารอีก 4 นาย กำลังลาดตระเวนและถูกจู่โจมโดยที่ไม่มีโอกาสได้ต่อสู้
“วันแม่ หรือวันไหนๆ แม่ก็คิดถึงลูกอยู่ทุกวันยังทำใจไม่ได้กับการจากไปของลูกชายคนเดียวของครอบครัว อีกเพียงไม่กี่เดือนก็จะปลดประจำการกลับมาอยู่บ้านแล้ว บอกเสมอให้ระมัดระวังตัว แต่สุดท้ายก็พลาด” แม่ทองศรี เล่าทั้งน้ำตา
เพราะความรักของแม่ไม่ได้สลายหายไปพร้อมกับความตายของลูก
แม่ทองศรี ยังบอกอีกว่า ไม่ว่าเหตุการณ์ความไม่สงบจะเป็นอย่างไรก็ยังคงภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้ ที่อาสาไปรับใช้ชาติ รับใช้แผ่นดิน เป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัวด้วยความภาคภูมิใจ
“ถึงแม้ปีนี้จะไม่มีเอกลักษณ์มาอวยพรวันแม่ หรือถือดอกมะลิมากราบที่เท้าของแม่เหมือนทุกปีก็ตาม แต่ต่อไปครอบครัวของเราก็ต้องก้าวเดินต่อไป ต้องเข้มแข็ง ถึงแม้มันจะทำใจยาก แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับและอยากจะให้แม่ทุกคนที่มีลูกไปปฏิบัติหน้าที่ทั้งทหาร หรือตำรวจ เจ้าหน้าที่ที่ลงไปจังหวัดชายแดนใต้ ขอให้เข้มแข็งและระมัดระวังตัวอย่าให้เกิดเหตุการณ์เหมือนกับลูกของตัวเอง”
กล่าวถึงหัวอกของแม่ทหาร อีกคนที่สูญเสียไม่ต่างกัน กรรณิการ์ มุกสิกปูน แม่ของพลทหารเบญจรงค์ ศรีแก้ว ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนใต้ แม่กรรณิการ์เล่าถึงวันแม่ในปีนี้ หากเป็นไปได้ของขวัญสำหรับวันแม่ของเธอเพียงอย่างเดียวที่ต้องการคือ อยากได้ลูกชายกลับคืนมา
“แม่ไม่รู้จะพูดอย่างไรกับการจากไป วันแม่ปีนี้ยิ่งตอกย้ำความเสียใจยิ่งคิดถึงลูกชาย ตั้งแต่เด็กลูกแม่เป็นเด็กดีไม่เคยเกเร คราวถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารที่ จ.ปัตตานี แม่ก็รู้สึกหวั่นใจแล้ว แต่คิดว่าไม่น่าจะมีอะไร เพราะเราไปทำดีไปช่วยชาติ แต่ไม่คิดว่าลูกจะต้องมาตายอย่างนี้ มันน่ากลัวเกินไป ไม่คิดไม่ฝันว่าจะต้องมาเผาศพลูก ต่อให้เยียวยาแค่ไหนก็ไม่คุ้มหรอก แม่อยากได้ลูกชายของแม่คืน”
และอาจจะเป็นเพราะคนทำนโยบายไม่เคยต้องลงไปเสี่ยงอยู่จังหวัดชายแดนใต้ ถึงไม่เคยรู้จักคำว่าใจเขาใจเรา จนทำให้คนที่ตายในเทศกาลกลายเป็นเหมือนเศษผักที่ไร้คนดูแล
แม่กรรณิการ์ เล่าอีกว่า ที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจากกองทัพ หรือรัฐบาล ถึงแม้ว่าผู้ใหญ่ของบ้านเมืองบอกจะช่วยเหลือต่างๆ แต่ก็ยังไม่เห็นมีความคืบหน้า แต่ที่เธอกังวลและเคยถามไปยัง ผบ.ทบ.ว่า ทำไมต้องเอาพลทหารที่ไม่เคยมีประสบการณ์การรบ หรือการป้องกันตัวไปในพื้นที่อันตรายด้วย อีกทั้งไม่มีใครมาคุ้มครอง ไม่มีนักรบจริงๆ เข้ามาช่วยเหลือเลย แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้คำตอบ
เงินที่จะให้กับผู้เสียสละชีวิตในการต่อสู้เพื่อแผ่นดิน ย่อมไม่มีค่าเพียงพอสำหรับนโยบายตาบอดคลำช้างที่พรรคพวกสีเสื้อต้องสำคัญที่สุด
แต่เงินจากการเมืองก็ไม่สามารถตีค่าได้ ถ้าเทียบกับความรักที่แม่มีให้กับลูก
“ถึงอย่างไรก็ภูมิใจในตัวพลทหารเบญจรงค์มาก ที่ลูกยอมเสียสละเพื่อประเทศชาติ ไม่มีทหารเช่นนี้พวกเราก็คงนอนกันไม่หลับ ดีใจที่ลูกมารับใช้ประชาชน ถึงแม้วันแม่ในปีนี้และปีต่อๆ ไป แม่จะไม่มีลูกชายอีกแล้ว แต่แม่ก็อยากจะอวยพรให้ลูกหลานทหารกล้าอีกหลายต่อหลายนายที่ทำงานอยู่จังหวัดชายแดนใต้ให้ปลอดภัย ให้สู้เพื่อประเทศชาติต่อไปจนกว่าความสงบสุขจะกลับคืนมา”
เมื่อความเป็นแม่ไม่สามารถหยุดยั้งหน้าที่การงานของลูกผู้เสียสละ หลายต่อหลายคนจึงต้องสูญเสียลูกที่เป็นดั่งดวงใจอย่างไม่ต้องการ
แต่ละนาทีของผู้เป็นแม่ที่ต้องคอยเลี้ยงลูกมาตั้งแต่คลอด
แต่ละนาทีที่ลูกต้องลงไปปฏิบัติหน้าที่อยู่จังหวัดชายแดนใต้ ความเป็นห่วงของแม่ไม่เคยจางหาย
ถ้าเลือกได้ไม่มีใครอยากให้ลูกต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับคนบางจำพวก ที่นอกจากไม่เห็นค่าของทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ และอีกหลายคนในทุกภาคส่วน ซึ่งทำงานอยู่ในจังหวัดชายแดนใต้แล้ว
กลับหาผลประโยชน์จากการตายในเทศกาลอย่างไร้ยางอาย เมื่อคนเป็นแม่ต้องหลั่งน้ำตาให้กับการจากไป
ใครจะสะท้อนหัวใจอันเจ็บปวดของแม่ที่ถูกพรากกลางกองเพลิง


