'กระสุนมีไว้ยิง ไม่ได้มีไว้เก็บ' คาถามือปราบบ้านนอก พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง
“ผมมันเด็กบ้านนอก โตบ้านนอก ก็ต้องเป็นตำรวจบ้านนอก ในเมืองกรุงผมไม่เอา” คำบอกกล่าว พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1
โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ
“ผมมันเด็กบ้านนอก โตบ้านนอก ก็ต้องเป็นตำรวจบ้านนอก ในเมืองกรุงผมไม่เอา” คำบอกกล่าว พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1
ในวันที่การเมืองคุกรุ่น ช่วงต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา คำรณวิทย์ถูกเรียกเข้ากรุง ในตำแหน่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หรือ “น.1” ระยะเวลา 30 วัน
“ผมไม่ถนัดทำงานในเมืองหลวง แต่ถ้านายสั่งก็ต้องทำ” เจ้าตัวยอมรับ
คำรณวิทย์ หรือ “บิ๊กแจ๊ด” เปิดใจกับโพสต์ทูเดย์ว่า ฝันอยากเป็นตำรวจตั้งแต่เด็ก เพราะบ้านอยู่ใกล้สถานีตำรวจภูธรปทุมธานี จึงวางเป้าหมายเข้าศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน
เมื่อเรียนจบ มศ.5 จากโรงเรียนปทุมวิไล ตัดสินใจสอบเข้านายร้อยตำรวจทันที แต่ด้วยพ่อแม่เป็นครูฐานะค่อนข้างยากจน จึงต้องหยิบยืมเอกสารของเพื่อนที่เรียนพิเศษมาอ่านทบทวน
การสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจต้องฝึกฝนศักยภาพร่างกาย คำรณวิทย์จะซ้อมวิ่งแถวบ้านวันละ 10 กิโลเมตร และซ้อมว่ายน้ำที่แม่น้ำเจ้าพระยา
“สุดท้ายผมก็สอบติดนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 30 เมื่อปี 2516 ตอนนั้นมีคนสมัครสอบกว่า 6,000 คน รับเพียง 150 คน” เขาย้อนอดีตอันน่าภูมิใจ
ระหว่างเรียนปี 3 นรต.คำรณวิทย์ ต้องฝึกงานที่ สภ.เมืองสมุทรสงคราม มีโอกาสได้รู้จักกับ พ.ต.ต.ยุทธนา ชัยภักดี สารวัตรป้องกันปราบปราม ในฐานะพี่เลี้ยงและแม่แบบการทำงาน
“พี่เขาสอนผมทุกอย่าง ทำให้ผมชอบทำงานบ้านนอก เพราะเมืองกรุงวงการตำรวจค่อนข้างแรง นายก็เจ้ายศเจ้าอย่าง บ้านนอกนายเข้าใจดี สามัคคีกัน ลูกน้องปกครองง่าย” อดีต นรต.คำรณวิทย์ คิดเช่นนั้น
ทว่า ท้ายที่สุดความฝันของเขาก็ต้องสลาย เพราะมีคำสั่งให้ นรต.รุ่น 30 ทั้งหมดสังกัด “นครบาล” และแม้คำรณวิทย์จะมีผลการเรียนดีถึงขั้นสามารถเลือกพื้นที่ สน.เองได้ แต่ด้วยมีเพื่อนมากจึงยอมให้เพื่อนเลือกก่อน ท้ายที่สุดเขาจึงเริ่มชีวิตข้าราชการที่ สน.บางยี่เรือ ในตำแหน่งรองสารวัตรจราจร
เมื่ออายุราชการครบ 3 ปี เขาถูกย้ายไปยัง สน.ราษฎร์บูรณะ และ สน.พระโขนง ในตำแหน่งรองสารวัตรปราบปราม กระทั่งปี 2527 ย้ายไปเป็น ผบ.หมู่กองร้อยที่ 2 กก.1 ของโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ไปเป็นครูบังคับของนักเรียนนายร้อยฯ
จากนั้นก็ได้ท่องยุทธจักรสีกากีภูธรกว่า 10 ปี ในหลายจังหวัด จนเข้าปี 2543 ถูกเรียกกลับเข้ากรุงในตำแหน่งรองผู้บังคับการกองปราบปราม มีโอกาสทำงานกับ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง และ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง
ปี 2546 คำรณวิทย์ ย้ายไปเป็นผู้บังคับการใน จ.ตราด และได้รับการติดยศ “พล.ต.ต.”
“เมื่อมีคำสั่งด่วนให้เป็นผู้บังคับการที่กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี บช.น. ผมเป็นคนแรกที่มานั่งตำแหน่งนี้ และปลุกปั้นจนโด่งดังขึ้นมา รวมถึงมาเป็นผู้บังคับการของ 191 ในเมืองกรุงอีกด้วย และได้ตำแหน่งรองผู้บัญชากาตำรวจภูธรภาค 1 เมื่อปี 2550” บิ๊กตำรวจรายนี้ ระบุ
ด้วยงานทุกชิ้นที่ได้รับเป็นงานสืบสวนและปราบปราม ชีวิตตำรวจของ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ จึงมีความเสี่ยงและส่วนใหญ่มักจะต้องปะทะกับคนร้าย
“ผมมักจะลงพื้นที่กับลูกน้องแทบทุกครั้ง ครั้งหนึ่งเคยเจอผู้ร้ายปล้นรถแบ็กโฮท้องที่ สภ.หาดใหญ่ ผมกำลังจะไปจับ แต่เขาชักปืนยิงสวนออกมา ผมหมดทางเลือกต้องยิงสู้ สุดท้ายก็วิสามัญ
“งานนั้นลูกน้องมาไม่ทัน ต้องลุยเดี่ยว ผมมีกระสุนเพียง 6 นัด ต้องตะโกนให้ลูกน้องโยนกระสุนมาให้ ส่วนลูกกระสุนคนร้ายก็เฉี่ยวไปมา เรียกว่าเกือบตาย” คำรณวิทย์ เล่าเหตุการณ์อย่างออกอรรถรส
ถามว่าวิสามัญไปกี่รายแล้ว พล.ต.ต.คำรณวิทย์ คิดก่อนตอบด้วยน้ำเสียงติดตลกว่า “ผมไม่เคยนับนะ เมื่อก่อนเคยนับเหมือนกัน แต่หลังๆ มันเยอะมาก ขี้เกียจนับแล้ว”
“ด้วยหน้าที่งานของเรามันต้องเจอผู้ร้ายอยู่ตลอดเวลา งานปราบปรามต้องให้ประชาชนกินอิ่มนอนหลับ ไม่ให้โจรมาทำร้าย อีกอย่างผมเป็นคนบู๊ ปืนต้องพร้อมตลอด เกิดเหตุฉุกเฉินจะมาขัดลำกล้องไม่ได้ ผมสอนลูกน้องเสมอ กระสุนมีไว้ยิง ไม่ได้มีไว้เก็บ” มือปราบบ้านนอก ระบุ
หลายคดีที่ปิดได้ด้วยฝีมือและทีมงานของ “บิ๊กแจ๊ด” ทั้งโจ ด่านช้าง โจ๊ก ไผ่เขียว จับกุมผู้พันตึ๋ง เณรแอร์ รวมถึงคดีนักโทษพม่ายึดเรือนจำ จ.ราชบุรี และจับกุมผู้คุมเป็นตัวประกัน ท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่ต้องซิวคนร้าย 9 ศพ แต่พลาดถูก ผบ.เรือนจำเสียชีวิตด้วย
“สั่งการถูกต้องแล้วที่ให้ยิง ไม่เช่นนั้นตัวประกันตายแน่” เขายืนยันหนักแน่น
รักษาการ น.1 ยืนยันอีกว่า ตลอดชีวิตราชการไม่เคยวิ่งเต้น นายสั่งก็ทำหมด เอางานเป็นหลัก จึงบอกลูกน้องเสมอว่าไม่ต้องมาวิ่งอะไรทั้งสิ้น ทำงานให้ดี และให้กฎ 2 ข้อ 1.ไม่มักมากในลาภผล 2.กรุณาปรานีต่อประชาชน
ดังนั้น เมื่อได้รับมอบหมายให้มาควบคุมสถานการณ์ทางการเมือง ก็ยังคงยึดหลักนี้ คือไม่ใช่มาถึงก็มุ่งซ้อมสลายม็อบ แต่หากต้องออกคำสั่งนั้นจริง ก็จะทำอย่างเปิดเผย ให้สื่อมวลชนทุกแขนงตรวจสอบได้ เช่น ใช้เครื่องมืออะไร โล่ กระบอง รถฉีดน้ำ หรือแม้แต่แก๊สน้ำตา ยืนยันว่าจะไม่มีการยิงใส่ผู้ชุมนุม
นอกจากสถานการณ์ทางการเมืองแล้ว ในฐานะหมายเลข 1 ของนครบาล ต้องรับผิดชอบชีวิตความปลอดภัยของประชาชนร่วม 10 ล้านคน
“อย่างคดีผู้ต้องหาขับซาเล้งฉีดสารเคมีผสมน้ำใส่ประชาชน ผมเรียกประชุมท้องที่ สน.ลุมพินี ที่ผู้เสียหายไปแจ้งความไว้ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค. ตำรวจท้องที่นิ่งเฉย รับแจ้งความ เลขคดีก็ไม่ลง ผมถามอะไรก็ตอบไม่ได้
“สน.บางซื่อเช่นกัน เขาแจ้งความไว้เกือบเดือน ทำไมไม่ทำงานกัน ก็ต้องมาไล่กันใหม่จนวางแผนจับกุมสำเร็จ
“เอาง่ายๆ คือตำรวจเมืองกรุงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและอุดมคติในการทำงาน พนักงานสอบสวนไม่ใช่ว่าไม่ได้เงินแล้วไม่ยอมทำคดี อย่างนี้ผมยอมไม่ได้
“อยากอยู่พื้นที่ สน.ใหญ่ๆ งานเยอะๆ แต่คดีกลับไม่ทำ ผมก็ไม่เข้าใจ วางตัวคนถูกกับพื้นที่หรือไม่ ผมนั่งเก้าอี้นี้อยู่ ผมก็ต้องจัดการให้ได้” บิ๊กแจ๊ด กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
พล.ต.ต.คำรณวิทย์ เล่าว่า ในวันที่จบจากโรงเรียนนายร้อยฯ แม่ได้เหมารถสองแถวมารับพร้อมกับมอบของขวัญเป็นหัวโขน และบอกว่าชีวิตข้าราชการอย่ายึดติดกับยศกับตำแหน่ง เพราะเมื่อถอดออกแล้วทุกคนก็เสมอเท่าเทียมกันหมด
ปัจจุบันคำรณวิทย์ยังเก็บหัวโขนไว้ในห้องทำงาน เพื่อเตือนสติ เตือนใจ


