posttoday

ยาม้า ยาบ้า ยาไอซ์ และซูโดอีเฟดรีน (2)

22 พฤษภาคม 2555

โดย...นพ.วิชัย โชควิวัฒน

โดย...นพ.วิชัย โชควิวัฒน

ยากลุ่มนี้ซึ่งแต่เดิมเรียก ยาม้ามาเปลี่ยนชื่อเป็นยาบ้าเมื่อปี พ.ศ. 2539 ในสมัยที่ เสนาะ เทียนทอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายกรัฐมนตรีสมัยนั้นคือ บรรหาร ศิลปอาชา เหตุผลสำคัญในการเปลี่ยนชื่อ เพราะชื่อยาม้ามีความหมายในทางที่ดี แต่ขณะนั้นมีการนำยาเหล่านี้ไปเป็นยาเสพติดให้โทษกันมาก และผู้เสพยาเหล่านี้บางรายมีอาการคลุ้มคลั่งจนปรากฏเป็นข่าวครึกโครมเนืองๆ

จึงเสนอให้เปลี่ยนไปเรียกว่า ยาบ้า เพื่อให้เกิดการรังเกียจ โดยหวังว่าจะมีผลช่วยในการปราบปรามด้วย ซึ่งประชาชนก็ยอมรับชื่อนี้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางจนติดปากประชาชนเรื่อยมา แต่ไม่น่าจะมีผลในการปราบปรามยานี้แต่อย่างใด ทั้งๆ ที่มาตรการเมื่อปี พ.ศ. 2539 ไม่เพียงเปลี่ยนชื่อเท่านั้น แต่มีมาตรการที่รุนแรงกว่า คือการจัดยากลุ่มนี้เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1ไม่อนุญาตให้นำมาทำเป็นยา และห้ามการครอบครอง โดยมีโทษหนักด้วย

สมัยที่เรียกว่ายาม้านั้น ตัวยามีทั้งแอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีน แต่หลังจากเปลี่ยนชื่อเป็นยาบ้า พบตัวยาเป็นเมทแอมเฟตามีนแทบทั้งหมดหรือทั้งหมด สาเหตุน่าจะเป็นเพราะเมทแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นอนุพันธุ์ของแอมเฟตามีนออกฤทธิ์ต่อสมองได้มากกว่า ซึ่งมีผลทำให้ออกอาการรุนแรงกว่าและเสพติดได้มากกว่า จึงเป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่า ปัจจุบันยาบ้าในประเทศไทยพบตัวยาคือเมทแอมเฟตามีนทั้งสิ้น

ส่วนยาไอซ์ก็คือตัวยาเมทแอมเฟตามีนเหมือนกัน แต่ผลิตออกมาในรูปผลึก ทำให้มีลักษณะเหมือนเกล็ดน้ำแข็ง จึงเรียกว่า ยาไอซ์ (Ice =น้ำแข็ง) ยาไอซ์ไม่เพียงแตกต่างจากยาม้าหรือยาบ้าในรูปลักษณะเท่านั้น แต่มีข้อแตกต่างสำคัญคือมีตัวยาแรงกว่ากันมาก ยาบ้ามีตัวยาเมทแอมเฟตามีนราว 10-20% ในแต่ละเม็ดยา แต่ยาไอซ์จะมีตัวยาราว 80% หรือมากกว่า จึงมีฤทธิ์กระตุ้นสมองและเสพติดรุนแรงกว่ามาก

ยากลุ่มนี้มีประวัติความเป็นมาค่อนข้างยาวนาน ยาตัวแรกคือแอมเฟตามีน สังเคราะห์ขึ้นครั้งแรกโดยนักวิทยาศาสตร์ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อปี พ.ศ. 2430 สารตัวนี้มีการนำมาใช้ทางยาครั้งแรกโดยใช้เป็นยาดมแก้อาการคัดจมูก เมื่อปี พ.ศ. 2477 ปีต่อมามีการนำไปทดสอบกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่ลอสแองเจลิสในสหรัฐอเมริกา จำนวน 55 คน พบว่าทำให้เกิด “ความรู้สึกสบาย หายเมื่อยล้า และกระปรี้กระเปร่า”ทำให้มีการนำมาใช้เป็น “ยาขยัน” ในเวลาต่อมา

นักเคมีชาวญี่ปุ่นสามารถสังเคราะห์อนุพันธุ์ของแอมเฟตามีน คือ เมทแอมเฟตามีนได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2436 โดยสังเคราะห์จากอีเฟดรีน หลังจากนั้นสารทั้งสองตัวนี้ได้มีการนำไปใช้อย่างกว้างขวางในหลายวงการ เริ่มตั้งแต่ในวงการทหารตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มีการใช้สารกลุ่มนี้ในกองทัพทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ คือ สหรัฐ อังกฤษ เยอรมนี และญี่ปุ่น

มีเหตุการณ์สำคัญที่บันทึกไว้ในกองทัพอังกฤษ เมื่ออังกฤษสืบทราบว่าเยอรมนีกำลังพยายามสร้างระเบิดปรมาณู โดยการนำของนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในสมัยนั้น คือ แวร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก การผลิตระเบิดปรมาณูมีขั้นตอนมากมาย แต่หัวใจสำคัญสองอย่างคือ วัตถุดิบ ได้แก่ แร่ยูเรเนียม ซึ่งมีแหล่งอยู่ในเขตยึดครองของเยอรมนี ฝ่ายสัมพันธมิตรพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีทางที่จะไปขัดขวางเส้นทางได้มาซึ่งแร่ยูเรเนียมของฝ่ายเยอรมนีได้ อังกฤษจึงต้องเลือกหนทางที่สอง คือการสกัด “น้ำมวลหนัก” ซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการชะลอการเคลื่อนที่ของนิวตรอนในปฏิกิริยานิวเคลียร์ โรงงานผลิตน้ำมวลหนักของเยอรมนี อยู่ที่เมืองเฟมอร์ค (Vemork) ในประเทศนอร์เวย์ซึ่งก็อยู่ภายใต้การยึดครองของเยอรมนี

แต่อังกฤษพิจารณาแล้ว พอมีหนทางจะเข้าปฏิบัติการได้ จึงส่งหน่วยพลร่มจำนวน 30 นายเข้าไปเป็นชุดแรก พลร่มเหล่านี้มียาแอมเฟตามีนติดตัวไปด้วย ทหารกล้าตายชุดนี้เจอพายุหิมะ ทำให้เครื่องร่อนที่ใช้เป็นยานพาหนะตก ทหารตายเกือบหมด ที่เหลือต้องใช้มอร์ฟีนเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด และใช้ยาแอมเฟตามีนเพื่อช่วยทำให้กระเสือกกระสนต่อไปได้ แต่สุดท้ายก็ถูกฝ่ายเยอรมนีจับได้ บางคนถูกยิงทิ้งและบางคนถูกทรมานจนตายหมด

อังกฤษลังเลอยู่พักใหญ่ว่าจะส่งพลร่มเข้าไปอีกหรือไม่ เพราะเสี่ยงตายสูงมาก แต่เพราะความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องขัดขวางการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ของเยอรมนีลงให้ได้ จึงตัดสินใจส่งหน่วยพลร่มชุดที่สองเข้าไป คราวนี้มีการประสานงานอย่างดีกับหน่วยต่อต้านในพื้นที่ มีการให้หน่วยต่อต้านในพื้นที่ลักลอบเดินทางไปพบกับหน่วยพลร่ม เพื่อกำหนดนัดหมายและซักซ้อมเรื่องเส้นทาง จนในที่สุดสามารถลักลอบเข้าไประเบิดโรงงานผลิตน้ำมวลหนักลงได้ แต่การระเบิดคราวนั้นไม่รุนแรงมากนัก แม้สามารถทำให้น้ำมวลหนักที่ผลิตได้แล้วสูญเสียไปหมด แต่เยอรมนีก็ใช้เวลาไม่นานซ่อมโรงงานจนกลับมาทำงานได้ใหม่ อังกฤษไม่ลดละความพยายาม คราวนี้ใช้วิธีสกัดการขนส่งน้ำมวลหนักโดยตัดสินใจระเบิดเรือโดยสารข้ามฟาก ซึ่งบรรทุกน้ำมวลหนักมาด้วย อังกฤษปฏิบัติการสำเร็จแต่ทำให้ผู้โดยสารเรือลำนั้น ซึ่งเป็นพลเรือนและบางคนเป็นเด็กตายไปด้วยไม่น้อย

ไม่มีใครรู้ว่าถ้าอังกฤษไม่สามารถสกัดการผลิตหรือการขนส่งน้ำมวลหนักเป็นผลสำเร็จ เยอรมนีจะสามารถระเบิดปรมาณูได้ก่อนสหรัฐหรือไม่ เพราะไฮเซนเบิร์กให้การภายหลังว่าเขาพยายามหน่วงเหนี่ยวการสร้างระเบิดปรมาณูด้วยตัวของเขาเองอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าไฮเซนเบิร์กพูดความจริงหรือไม่

ข่าวล่าสุด

เลิกวนลูป! ส่อง 3 เป้าหมายยอดนิยมที่คนไทยตั้งไว้ทุกต้นปี เป็นจริงได้อย่างไร?