พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ
โดย...วิมลพรรณ ปิตธวัชชัย
โดย...วิมลพรรณ ปิตธวัชชัย
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทองแถมถวัลยวงศ์ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาสังวาลย์ เมื่อตอนใกล้รุ่งของคืนวันเสาร์ที่ 17 ต.ค. 2400 ในพระบรมมหาราชวัง
ในปี 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอ เมืองประจวบคีรีขันธ์ หลังเสด็จพระราชดำเนินกลับพระนครก็ทรงพระประชวร และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2411 เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระบรมชนกนาถเป็น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าทองแถมถวัลยวงศ์ และหม่อมมารดาก็เสด็จออกจากพระบรมมหาราชวัง ไปประทับที่วังปากคลองตลาดของพระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ พระเชษฐา
ต่อมาเมื่อเจริญพระชันษาได้ 13 ปี ได้เข้าพิธีโสกันต์และผนวชเป็นสามเณรประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พร้อมกับพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าเกษมศรีศุภโยค พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีสิทธิธงไชย และพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช เมื่อทรงลาผนวชแล้วทรงเรียนวิชาภาษาไทยกับพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ทรงเรียนวิชาทหารที่โรงเรียนทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ซึ่งตั้งอยู่ริมประตูพิมานไชยศรีชั้นนอก และได้ทรงเรียนวิชาภาษาอังกฤษกับนายฟรานซิส ยอร์ช แพตเตอร์สัน ครูโรงเรียนหลวงที่สอนอยู่ที่นั่น สำหรับวิชาเฉพาะทางนั้น เสด็จในกรมฯ ทรงเลือกเรียนวิชาการช่างกับนายเฮนรี่ อาลาบาสเตอร์ อดีตรองกงสุลอังกฤษ ต้นตระกูลเศวตศิลา ซึ่งรับราชการเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นายอาลาบาสเตอร์ผู้นี้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในวิชาการช่างหลายแขนง อาทิ การสำรวจรังวัด การทำแผนที่ การโยธา เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นผู้ที่มีความรู้ความสนใจเกี่ยวกับพรรณไม้นานาชนิด ซึ่งวิชาความรู้ดังกล่าวล้วนเป็นที่โปรดปรานของเสด็จในกรมฯ ยิ่งนัก ทำให้พระองค์ทรงตั้งพระทัยศึกษาเล่าเรียนจนกระทั่งทรงมีพระปรีชาสามารถในทางการช่างหลายแขนง
ในปี 2418 ได้ทรงร่วมกับสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ และพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์อื่นๆ รวม 11 พระองค์ จัดทำ “หนังสือ Court ข่าวราชการ” รายงานข่าวในพระราชสำนัก ข่าวราชการ และประกาศแจ้งความต่างๆ หนังสือนี้ออกเป็นรายวัน วันละ 34 หน้า เสด็จในกรมฯ ทรงรับหน้าที่รายงานข่าวประจำวันอังคาร หนังสือนี้ออกมาได้เกือบ 1 ปีก็ต้องเลิกไป ด้วยเหตุที่บรรดาพระเจ้าน้องยาเธอหลายพระองค์ทรงติดหน้าที่ราชการ หรือต้องตามเสด็จประพาสหัวเมืองอยู่เนืองๆ
ในปี 2420 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์ผนวชเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ เสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พร้อมกับพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าเกษมศรีศุภโยค พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีสิทธิธงไชย และพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช เมื่อครบพรรษาก็ทรงลาผนวชแล้วเข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนทรงเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการมาเป็นลำดับ
เสด็จในกรมฯ ทรงเป็นพระเจ้าน้องยาเธอที่ได้รับราชการส่วนในพระองค์สนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิดด้วยความจงรักภักดีอย่างแท้จริง จึงทรงเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก จนทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหนึ่งในสี่นายทหารราชองครักษ์ประจำพระองค์เมื่อเสด็จพระราชดำเนินประพาสที่แห่งใด ทั้งในและนอกราชอาณาจักรก็โปรดที่จะให้เสด็จในกรมฯ ได้โดยเสด็จพระราชดำเนินด้วยทุกครั้ง นอกจากนี้ยังโปรดเรียกขานพระนามเสด็จในกรมฯ อย่างลำลองว่า “ดุ๊ก” แทนการเรียกขานพระนามกรม ซึ่งมีพระเจ้าน้องยาเธอเพียงไม่กี่พระองค์ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัวทรงเรียกขานพระนามลำลองอย่างเป็นกันเองเช่นนี้
นอกจากทรงรับราชการส่วนในพระองค์อย่างใกล้ชิดแล้ว เสด็จในกรมฯ ยังทรงมีผลงานด้านต่างๆ อีกมากมาย เช่น ทรงเป็นองคมนตรีทำหน้าที่ถวายคำปรึกษาในด้านต่างๆ ทรงเป็นอธิบดีกรมช่างข้างในกำกับดูแลช่างฝีมือจำนวนมาก ได้สร้างสรรค์ผลงานช่างฝีมือชั้นสูงซึ่งตกทอดมาถึงปัจจุบันหลายชิ้น เสด็จในกรมฯ เองก็ทรงเป็นช่างทองฝีมือเยี่ยมแห่งราชสำนักจนผู้คนในสมัยนั้นขนานพระนามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าช่างทอง”
ทรงรับผิดชอบงานบูรณปฏิสังขรณ์และงานก่อสร้างที่สำคัญหลายแห่ง ได้แก่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระที่นั่งหลายองค์ในพระบรมมหาราชวัง สวนสราญรมย์ พระราชวังบางปะอิน วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พระจุฑาธุชราชฐาน พระราชวังสวนดุสิต วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วัดดาวดึงษาราม เป็นต้น ทรงนำกล้องและเครื่องฉายภาพยนตร์เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในราชสำนักเป็นพระองค์แรกจนกระทั่งได้รับการเทิดพระเกียรติให้เป็น “พระบิดาแห่งภาพยนตร์สยาม” ทรงนำเอาพรรณไม้ต่างประเทศหลายชนิดเข้ามาปลูกเลี้ยงเป็นพระองค์แรก ทรงทำพระเบญจาทองคำที่ประดิษฐานพระบรมโกศ และพระวิมานทองคำที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย
ในปี 2431 ทรงได้รับพระราชทานพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระยศสถาปนาขึ้นเป็นกรมหมื่น มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสาตรศุภกิจ ต่อมาในการพระราชพิธีฉัตรมงคลสมโภชพระมหาเศวตฉัตรประจำปี 2448 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเลื่อนพระเกียรติยศให้เป็นกรมขุน มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสาตรศุภกิจ พระองค์ได้ตามเสด็จพระราชดำเนินประพาสต่างประเทศหลายคราว ในปี 2439 ได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประพาสสิงคโปร์ และได้ทอดพระเนตรภาพยนตร์เป็นครั้งแรก ในปีต่อมาเสด็จในกรมฯ ทรงตามเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกในปี 2440 ได้ทรงจัดซื้อเครื่องซีเนมาโตกราฟฟี ซึ่งเป็นทั้งกล้องถ่ายและเครื่องฉายภาพยนตร์กลับมาเมืองไทยด้วย พระองค์ได้ทรงถ่ายทำภาพยนตร์บันทึกเหตุการณ์เบ็ดเตล็ดทั้งในและนอกเขตพระราชวัง จนถึงภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากพระองค์ทรงเป็นนักถ่ายภาพยนตร์เป็นรายแรกและรายเดียวของสยามให้รัชสมัยนั้นแล้ว ยังทรงเป็นผู้ดำเนินธุรกิจจัดฉายและให้เช่าภาพยนตร์เป็นรายแรกของชาติด้วย โดยนอกจากจะทรงให้โรงภาพยนตร์ต่างๆ เช่ายืมภาพยนตร์ของพระองค์แล้ว บางครั้งก็ทรงจัดฉายภาพยนตร์เก็บค่าดูจากสาธารณชนขึ้นในบริเวณวังของพระองค์ และที่ทรงทำเป็นประจำคือ การออกร้านฉายภาพยนตร์เป็นเจ้าประจำในงานประจำปีวัดเบญจมบพิตร
เสด็จในกรมฯ ทรงประทับอยู่ที่วังสรรพสาตรศุภกิจ ที่ตั้งอยู่ริมถนนบ้านตะนาว ฝั่งตะวันตก ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ซื้อพระราชทานเมื่อปี 2440 จนสิ้นพระชนม์ ปัจจุบันบริเวณวังเป็นที่อาศัยของเอกชน มีถนนแพ่งสรรพศาสตร์ตัดผ่านตำหนัก เชื่อมระหว่างถนนอัษฎวงศ์กับถนนตะนาว อันเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ แพ่งสรรพศาสตร์
เสด็จในกรมฯ ทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ เมื่อปี 2455 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับราชการในตำแหน่งสุดท้ายเป็นนายพันเอกราชองครักษ์ ต่อมาทรงประชวรเป็นพระโรคอัมพาต สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2462 พระชันษา 62 ปี ทรงมีหม่อม 5 คน มีพระโอรสธิดา 11 พระองค์ และทรงมีเชื้อสายที่ไม่ได้นับเป็นราชสกุลคือ สกุล “ทองเจือ” และ “สุวรรณรัฐ” พระองค์ทรงเป็นต้นราชสกุล “ทองแถม”


