ความหลากหลายของการปกครองแบบเผด็จการ
โดย...นครรินทร์ เมฆไตรรัตน์
โดย...นครรินทร์ เมฆไตรรัตน์
คำว่าเผด็จการ เข้าใจว่าน่าจะแปลมาจากภาษาต่างประเทศ หมายถึงคำว่า Dictator ซึ่งในกรณีของสังคมการเมืองไทย คำดังกล่าวถูกใช้โดยนักหนังสือพิมพ์การเมืองมาก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 โดยเน้นลักษณะของการปกครองที่ผู้ปกครองทำการปกครอง และตัดสินใจเรื่องต่างๆ โดยไม่สนใจและรับฟังเสียงเรียกร้องของคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราษฎร
ในอันที่จริง ก่อนปี พ.ศ. 2475 ซึ่งในสมัยนั้น ในทางหลักวิชาการ เราเรียกว่า เป็นการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นทั้งองค์พระประมุขและทรงเป็นประธานที่ประชุมของเสนาบดีด้วยในเวลาเดียวกัน
แต่ในสมัยนั้น เวลาที่นักหนังสือพิมพ์การเมืองเขียนวิพากษ์รัฐบาลรวมทั้งวิจารณ์การปกครองของระบอบสมบูรณาฯ ก็ได้ใช้สำบัดสำนวนว่า เป็นการปกครองในลักษณะเผด็จการ ก็มีตัวอย่างปรากฏให้เห็นเสมอๆ ในทำนองที่ว่า เป็นเผด็จการเพราะพวกเจ้านายไม่ยอมรับฟังเสียงของราษฎร
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งเป็นการก่อการโดยการนำของคณะราษฎร ซึ่งได้มีการเคลื่อนย้ายโครงสร้างอำนาจ ยังผลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำรงฐานะเป็นองค์พระประมุขของรัฐเพียงประการเดียว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทรงพ้นไปจากการบริหารราชการ เพราะว่าประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง แยกออกจากองค์พระประมุขของรัฐ
รัฐบาลภายใต้การนำของคณะราษฎร แม้นว่าจะเพียรพยายามอธิบายว่า เป็นการปกครองอย่างใหม่หรือชนิดใหม่ เรียกว่าระบอบราชาธิปไตยแบบจำกัดอำนาจบ้าง ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญบ้าง เป็นระบอบประชาธิปไตยบ้าง หรือบางท่านเรียกว่าระบอบกึ่งประชาธิปไตยที่ยังไม่มีความสมบูรณ์บ้าง (เพราะว่าจะมีความสมบูรณ์ในระยะต่อมาโดยผลของรัฐธรรมนูญ 2489) แต่พวกนักหนังสือพิมพ์การเมืองปากกล้าบางคนต่างพากันวิจารณ์ว่าเป็นการปกครองของคณะรัฐบาลคณะราษฎรแบบเผด็จการ ก็มีตัวอย่างปรากฏให้เห็นเสมอๆ
ตัวอย่างเช่น วิจารณ์ว่า รัฐบาลของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ทำการปกครองประเทศแบบเผด็จการ ทำตัวเป็นท่านผู้นำ ชูคำขวัญว่าเชื่อผู้นำชาติพ้นภัย หรือบ้างก็ว่าเป็นเผด็จการแบบฟาสซิสต์ก็มี
พัฒนาการในระยะต่อมา คือเมื่อถึงยุคสมัยของคณะปฏิวัติ ทำการปกครองประเทศโดยอาศัยหรือใช้อำนาจของคณะปฏิวัติ คำว่าเผด็จการ Dictator ในสังคมการเมืองไทย จึงมีความหมายที่กระชับและคับแคบมากขึ้น โดยพุ่งเป้าไปที่คณะทหาร และรัฐบาลของคณะทหารว่าเป็นเผด็จการ
อย่างไรก็ดี คำว่าเผด็จการ มีความหมายอย่างเฉพาะเจาะจงว่า คือ การปกครองโดยคณะรัฐประหาร หรือโดยผู้นำของคณะทหาร นั้นเป็นวาทกรรมที่มีลักษณะโดดเด่น และเข้าใจง่ายในสังคมไทย เรื่องนี้ไม่เป็นที่สงสัย
เหตุผลในประการสำคัญ เป็นเพราะว่าคำดังกล่าวถูกจัดให้อยู่เป็นคู่ตรงข้ามกับคำว่าประชาธิปไตย คือ ประชาธิปไตยอยู่ตรงข้ามกับเผด็จการ ฉะนั้น การกระทำใดที่เกิดจากการรัฐประหาร ก็ล้วนเป็นเผด็จการด้วยกันทั้งสิ้น
กระนั้นก็ตาม ดังที่ผู้เขียนได้เกริ่นนำไปแล้วว่า เผด็จการเป็นการปกครองที่ผู้ปกครองดำเนินการเอง และตัดสินใจเองโดยไม่ฟังเสียงของคนอื่นๆ แต่ดั้งเดิมนักหนังสือพิมพ์การเมืองบางคนก็เคยเรียกว่า เป็นเผด็จการของคณะเจ้านาย เผด็จการของคณะราษฎร เผด็จการจอมพล ป.พิบูลสงคราม ฯลฯ มาแล้ว โดยที่การเรียกขานดังกล่าวไม่เกี่ยวกับกรอบโครงใหญ่ของการปกครองของประเทศแต่อย่างใด
ดังนั้น การที่สังคมไทยในสมัยปัจจุบัน จะมีการใช้คำว่าเป็นเผด็จการของพรรคการเมือง เผด็จการของรัฐสภา เผด็จการของอำมาตย์ เผด็จการของคณะผู้นำ เผด็จการของนายทุน ฯลฯ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกประหลาดแต่ประการใด
เพราะคำดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับลักษณะของการใช้อำนาจว่าคน หรือกลุ่มคนที่มีอำนาจนั้นใช้อำนาจนั้นอย่างมีอารยะหรือไม่ มีวัฒนธรรมและรับฟังความเห็นของคนส่วนต่างๆ หรือไม่ มีการผูกขาดอำนาจหรือไม่ หรือมีเจตนาที่ไม่สุจริตและผลประโยชน์ที่แฝงเร้นไว้หรือไม่ ฯลฯ
หากมีเรื่องดังกล่าวอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เราก็อาจเรียกผู้นำคนนั้น หรือคณะนั้นว่าเป็นเผด็จการได้ ไม่ว่าจะอยู่ในองค์กรใด รวมทั้งในครอบครัว ในบริษัท ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องและแวดล้อมพวกเราอยู่ทุกคน


