posttoday

ถล่มจุดยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจไทยอัมพาต

08 มีนาคม 2553

8...ทีมข่าวการเงิน

ยังไม่มีใครประเมินได้เต็มปากว่าสถานการณ์ของประเทศไทย วันที่ 14 มี.ค. จะเป็นอย่างไร

หากไม่ราบเป็นหน้ากลอง ก็ต้องแตกหักกันไปข้างหนึ่งใช่หรือไม่!!!

เพราะย้อนไปเหตุการณ์เดือน เม.ย. ปี 2552

กลุ่มผู้ชุมนุมมารวมแล้วเฉียดๆ แสนคน

ถูกชักนำไปสู่ความรุนแรงที่ไม่มีใครอยากเห็น!!!

ครั้งนี้กลุ่มเสื้อแดงน่าจะมีการดาวกระจายไปสถานที่สำคัญ ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ

แน่นอน หนึ่งในเป้าหมายของแกนนำเสื้อแดง คือ การทำให้เศรษฐกิจไทยเป็น อัมพาต

ถนนสายหลักถูกตัดขาด โกลาหลทั้งประเทศ

สร้างภาพให้ดูว่ารัฐบาลหมดน้ำยาในการแก้ปัญหาปากท้องประชาชน

จุดเริ่มต้นที่เห็นแล้ว คือการปลุกม็อบชาวนาให้ขนรถอีแต๋นเข้ากรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ถือเป็นการโหมโรง โดยฉวยจังหวะราคาข้าวหัวทิ่ม...

พร้อมกันนั้นก็สั่งระดมรถกระบะจากต่างจังหวัด คาดว่าจะมานับหมื่นคัน

สั่งตรงดิ่งมาตามถนนไฮเวย์สำคัญ เป้าหมายคือล้อมกรอบ กทม.!!

นับถอยหลังตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. จนถึง 14 มี.ค.

โปรแกรมที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) วางไว้คือหลังจากทุกสายเคลื่อนขบวนเข้ามาวันศุกร์ 12 มี.ค.

ก็จัดจุดชุมนุมรอบ กทม. และบริเวณกรุงเทพฯ ชั้นในไว้ 6 จุดยุทธศาสตร์ของการจราจร

1.อนุสาวรีย์ปราบกบฏ ย่านหลักสี่

2.สน.ทุ่งสองห้อง

3.สี่แยกบางนา

4.สวนลุมพินี

5.สามเหลี่ยมดินแดง

6.วงเวียนใหญ่ บริเวณอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน

เหมือนการ ตอกหมุดไม่ให้เศรษฐกิจเดินได้

แค่นี้ระบบขนส่งสินค้าหรือโลจิสติกส์ รวมทั้งระบบจราจรของประเทศไทยก็แทบเป็นอัมพาตแล้ว

รถบรรทุกสินค้าที่ใช้ไฮเวย์สำคัญไปเหนือและอีสาน ต้องผ่านลำตะคองและนครสวรรค์เป็นหัวใจหลัก

ก็จะต้องเจอการปิดกั้นถนนเพื่อระดมพลจากทั่วอีสาน

ส่วนสินค้าโซนภาคตะวันออก ที่ต้องอาศัยเส้นทางถนน บางนาตราด เรื่อยไปก็อาจต้องหยุดวิ่งโดยปริยาย ด้วยเหตุผลไม่ต่างกันคือ ม็อบปิดถนน

ที่น่าห่วงที่สุดคือนักท่องเที่ยวต่างชาติ เมื่อออกจากสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว ก็อาจจะติดอยู่ กลางทางไม่สามารถเคลื่อนไปต่อได้อีก

เพราะเข้ากรุงเทพฯ ก็อัมพาต ไปตะวันออก ทั้งชลบุรี ระยอง ก็ดูจะไม่ปลอดภัย เสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง

จะเห็นว่า 6 จุด ที่ตั้งเวทีม็อบนั้นสามารถปิดเมืองหลวงได้ทันที

หลังจากนั้นกลุ่มเสื้อแดงจะเคลื่อนคนเข้ามาบริเวณแยกถนนผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนิน

เท่ากับว่า ถนนสายนี้ต้องถูกปิดการจราจร

...การเชื่อมต่อระหว่าง ฝั่งธนบุรีกับฝั่งพระนครต้องหันไปใช้เส้นทางอื่น อย่างน้อย 1 สัปดาห์

แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ การดาวกระจายของกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งน่าจะเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 15 มี.ค.

แน่นอนว่า จุด ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจน่าจะเป็นเป้าหมายถูกถล่มหรือไม่ก็โดน ลูกหลงจากการชุมนุม

ไล่มาตั้งแต่ ธุรกิจย่านถนนสีลม

เป้าใหญ่ แบงก์กรุงเทพ ที่ม็อบเสื้อแดงยังแคลงใจ ทำให้ขณะนี้ทางตำรวจต้องตั้งเวรยามควบคุมความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง

อันดับสอง ตึกซีพีทาวเวอร์ ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่อยู่ในข่ายถูกโจมตีว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามของกลุ่มเสื้อแดง

ไม่ต้องพูดถึงหน่วยงานราชการที่เป็น ศูนย์บัญชาการทางเศรษฐกิจ

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ย่านบางขุนพรหม ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับ สถานที่ชุมนุม วันที่ 14 มี.ค. ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลัก

เพราะ ธปท. นั้นถือว่าเป็นหน่วยงานที่ดูแลชะตากรรมของเงิน 7.6 หมื่นล้านมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร

นอกจากนั้น ธปท. ยังเป็นหน่วยงานคู่พิพาทเรื่องคดีที่ดินถนนรัชดากับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร และประกาศไม่คืนเงินด้วย

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็เป็นอีกจุดยุทธศาสตร์ที่หากม็อบปิดการซื้อขายหุ้นได้ เท่ากับการปิด ชีพจรเศรษฐกิจการลงทุนของประเทศ

ผู้ชุมนุมอาจไม่พอใจที่ตลาดหลักทรัพย์และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เข้าตรวจสอบพบเส้นทางเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ซุกหุ้นบริษัทชินคอร์ปผ่านวินมาร์คและแอมเพิลริช

นำไปสู่หัวใจของการ พ่ายแพ้คดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแบบย่อยยับ

ส่วนที่ประมาทไม่ได้ คือกลุ่มเสื้อแดงอาจทำการปิดล้อม กรมสรรพากร และกระทรวงการคลัง ที่ขณะนี้กำลังกุมชะตากรรมคดีที่ น.ส.พินทองทา ชินวัตร และนายพานทองแท้ ชินวัตร ไม่จ่ายภาษีและค่าปรับในการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปอีก 1.21.4 หมื่นล้านบาท

รวมทั้งความไม่พอใจต่อ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ที่ประกาศตามไล่เบี้ยเงินยึดทรัพย์ที่เหลืออยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไม่ลดละ

ขณะที่หัวใจจริงๆ คือ ถ้าผู้ชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการบริหารประเทศ

ความเสียหายทางเศรษฐกิจจะยิ่งหนักหน่วงและรุนแรง!!!

เพราะนายกรัฐมนตรีจะไม่สามารถสั่งการแก้ปัญหาทุกอย่างได้อย่างสะดวก

ความเชื่อมั่นในสายตาของนักธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติก็จะหมดลงทันที

แหล่งข่าวจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เชื่อว่า กลุ่มเสื้อแดงจะทุ่มเงินหมดหน้าตักเพื่อสร้างยุทธศาสตร์แตกหักกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อสะท้อนภาพว่าบริหารจัดการไม่ได้

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังเชื่อว่าฝั่งรัฐบาลและทหารน่าจะคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลายได้

ขณะที่เศรษฐกิจอาจได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากตลาดได้ ชินชากับสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยไปมากแล้ว

นักลงทุนที่เหลืออยู่ขณะนี้คือ นักลงทุนที่ปรับตัวได้ และไม่ย้ายฐานการผลิต

ขณะที่นักลงทุนใหม่คงยังไม่กล้าเสี่ยง เพราะไม่รู้ว่าปัญหาของไทยอีกกี่ปีถึงจะจบ

ส่วนนักท่องเที่ยวสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรป ซึ่งเคยเป็นกลุ่มหลัก ขณะนี้ก็ไม่นิยมเดินทางมาประเทศไทย

โครงสร้างนักท่องเที่ยวหลักจึงเปลี่ยนมาเป็นกลุ่มภูมิภาค โดยเฉพาะจากจีน สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินเดีย ที่ยอดจองเพิ่มขึ้น 40%

เป็นการเดินทางแบบจองล่วงหน้าไม่นานนัก และใช้วิธีดูสถานการณ์การเมืองเป็นหลัก

หากช่วงใดการเมืองปกติ ก็จะจองเข้ามา แต่ไม่วางแผนล่วงหน้า 34 เดือนเหมือนนักท่องเที่ยวยุโรป

ปัญหาการเมืองวุ่นวาย ได้ทำลายระบบเศรษฐกิจไทยมาตลอด 45 ปีที่ผ่านมา

และน่าจะมาถึงโค้งสุดท้ายในเดือน มี.ค.นี้!!!

แน่นอนว่าฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่อาจปล่อยให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เดินหน้าบริหารต่อไปได้

เพราะนั่นจะนำไปสู่การฟ้องร้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาฯ อีกมหาศาล

ไม่ใช่แค่ แล่เนื้อเถือหนังแต่จะถึงขั้น เลาะกระดูกกันทีเดียว

จึงไม่แปลกที่ประเทศไทยจะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ ตายกันไปข้างเพราะคนคนเดียว

การจะทำลายรัฐบาลให้ย่อยยับ ต้องทำลายจุดอ่อนสำคัญคือ เรื่องปากท้องชาวบ้าน

ถ้าเศรษฐกิจฟุบ รัฐบาลก็ต้องถูกกดดันให้ยุบสภา

ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจจึงเป็นเป้าหนึ่งที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลต้องใช้เป็นเครื่องมือในการ ทรมาน

ก่อนจะรุกคืบกระโดดเข้าสู่ยุทธศาสตร์สุดท้าย คือจุดที่เรียกว่า ประดาบก็เลือดเดือด

ข่าวล่าสุด

พลังงานคุมเข้มแท่นขุดเจาะอ่าวไทย สกัดโดรนป่วน ไม่กระทบการผลิต