สงครามระหว่างหลักการกับหลักกู
คนที่ชอบวรรณคดีย่อมจะรู้ดีว่า วรรณคดีคลาสสิกส่วนมากในโลกมักจะเป็นเรื่องราวของวีรบุรุษและวีรสตรี ที่พระเอกหรือนางเอกเหล่านี้จะต้องมีคุณธรรมบางอย่างอย่างโดดเด่น ทั้งนี้ก็ต้องต่อสู้กับ
“ตัวร้าย” ที่จะต้องมีความชั่วความเลวอันน่ากลัวเรียกง่ายๆ ว่า เป็นการต่อสู้ระหว่าง
“ธรรมะ” กับ “อธรรม”“
รามเกียรติ์” น่าจะเป็นวรรณคดีที่แพร่หลายมากที่สุดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มจากอินเดียที่เป็นต้นกำเนิดของวรรณคดีเรื่องนี้ แล้วแพร่กระจายออกมาพร้อมกับศาสนาฮินดู ที่ข้ามมหาสมุทรอินเดียมายังชาติต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฏอยู่ในศิลปะและวัฒนธรรมของชนชาติเหล่านี้ ที่รวมถึงความเชื่อและอุดมการณ์บางอย่างอีกด้วยความเชื่อและอุดมการณ์ที่อยากจะกล่าวถึงก็คือ
“ธรรมะย่อมชนะอธรรม” ที่ในเรื่องรามเกียรติ์ได้นำเสนอเป็น “หลักการ” ไว้อย่างมั่นคง และดำเนินเรื่องไปในแนวทางดังกล่าวโดยตลอด โดยมีกองทัพฝ่ายพระรามเป็นตัวแทนของ “ธรรมะ” และมีกองทัพฝ่ายทศกรรฐ์เป็นตัวแทนของฝ่าย “อธรรม”แน่นอนว่า เริ่มต้นเรื่องรามเกียรติ์ถือกำเนิดจากพิธีกรรมทางศาสนา เช่นเดียวกันกับวรรณคดีโบราณส่วนใหญ่ อย่างเช่นมหากาพย์เรื่องอีเลียดของกรีก ก็เขียนขึ้นมาเพื่อสรรเสริญเทพเจ้าทั้งหลาย ซึ่งในเรื่องรามเกียรติ์ก็คือการสรรเสริญ
“พระนารายณ์” ผู้ทำหน้าที่คล้ายๆ ฝ่ายความมั่นคงของโลก คือต้องคอยปราบปรามคนที่ก่อกรรมทำเข็ญแก่โลกและมนุษย์ต้นเหตุก็คือมียักษ์ตนหนึ่งชื่อ
“นนทุก” ทำหน้าที่คอยล้างเท้าเทวดาอยู่ที่เชิงเขาไกรลาศ อันเป็นที่ประทับของพระอิศวรผู้เป็นประมุขแห่งทวยเทพ นนทุกถูกเทวดาขี้เล่นบางองค์แกล้งถอนผมบ้าง เขกหัวบ้าง อยู่ทุกวันจนศีรษะล้านเลี่ยน จึงนำความคับแค้นไปฟ้องพระอิศวร แล้วก็ได้พรวิเศษ “นิ้วเพชร” ไว้ชี้เทวดาที่มาแกล้งให้ตาย แต่นนทุกไม่เลิกแค่การใช้แก้แค้น แต่ยังใช้นิ้วเพชรนี้ทำลายล้างเทวดาต่างๆ เพื่ออวดศักดาหรือ “เบ่ง” อีกด้วย พระอิศวรทราบเข้าก็บัญชาให้พระนารายณ์ไปปราบ พระนารายณ์ก็ปลอมเป็นนางฟ้าไปรำยั่วให้นนทุกฟ้อนตามจนเผลอชี้ตัวเองก่อนตายพระนารายณ์เผยองค์ออกมาจากร่างนางฟ้าให้นนทุกเห็น นนทุกจึงตัดพ้อว่าไม่เป็นธรรมที่ต้องมาตายเพราะกลอุบายเยี่ยงนี้ พระนารายณ์จึงบอกว่าขอให้นนทุกไปเกิดเป็นยักษ์มี 10 หัว 20 แขน ส่วนพระนารายณ์จะไปเกิดเป็นมนุษย์ แล้วมารบกัน นนทุกก็ไปเกิดเป็นทศกรรฐ์ ส่วนพระนารายณ์ก็ลงมาเกิดเป็นพระราม
ทศกรรฐ์มาเสียคนเพราะผู้หญิง 2 คน คนแรกคือนางมณโฑ คนหลังคือนางสีดา นางมณโฑนั้นทศกรรฐ์ไปแย่งมาจากพระยาพาลี หัวหน้ากองทัพวานรที่ต่อมายกกองทัพมาเข้าด้วยพระราม ด้วยเหตุผลเดียวกันคือพระรามถูกทศกรรฐ์แย่งเอานางสีดาไป จึงเดินขบวน เอ๊ย ยกทัพไปยังกรุงลงกา เพื่อชิงนางทั้งสองคืนมา จากนั้นก็เกิดสงครามรบพุ่งกันหลายครั้ง ทศกรรฐ์ได้ไปเกณฑ์เอาญาติพี่น้องมารบแล้วก็ตายไปจำนวนมาก จนแทบจะ
“สิ้นพงศ์วงศ์ยักษ์” ที่สุดก็มาตายง่ายๆ เพราะหนุมานที่อาสาพระรามไปเป็นไส้ศึก ไปล้วงเอากล่องดวงใจมาขยี้ทิ้งหลายคนที่เป็นแฟนโขนจะชอบฉากนี้มาก เพราะได้ทั้งอารมณ์ที่เศร้าสุดๆ และเพลงที่โศกซึ้งจนแทบจะละลายไปด้วย ในทำนองเพลงเขมรโพธิสัตว์ซึ่งมีเนื้อร้องท่อนแรกขึ้นต้นว่า
“โอ้ว่าหนุมานชาญกำแหง เสียแรงพ่อรักลูกเฝ้าปลูกฝัง” แต่ท่อนที่กินใจที่สุดน่าจะเป็นท่อนสุดท้ายที่ว่า “ไหนเจ้าว่าหนีร้อนมาพึ่งเย็น มาหลอกล้อพ่อเล่นดอกหรือนี่ จงยับยั้งตั้งจิตคิดให้ดี ขอชีวีพ่อเถิดนะลูกยา” ที่ตามมาด้วยการใช้ปี่เล่นเพลงโอด จนผู้ฟังแทบจะถูกเสียงปี่นั้นเชือดเนื้อกรีดหนังตายตามทศกรรฐ์ไปด้วย (คล้ายกับฉากที่มีคนมานั่งร้องไห้หน้าทีวีเมื่อ 26 กุมภาที่ผ่านมา)เกจิการเมืองอย่างท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยกล่าวไว้ในหลายโอกาสว่า เรื่องรามเกียรติ์นี่แหละ ที่ผู้อยากจะศึกษาการเมืองไทยให้เข้าใจต้องเรียนรู้ ส่วนหนึ่งนอกจากจะเต็มไปด้วยขนบธรรมเนียมทางการเมืองการปกครองตามแบบจารีตของไทยไว้มากมายแล้ว ยังเต็มไปด้วย
“จริต” หรือวิธีคิดในการต่อสู้เพื่อเอาชนะต่างๆ ในทางการเมืองการปกครองนั้นด้วย ทำนองเดียวกันกับ “ตำราพิชัยยุทธ์” ที่ควรค่าแก่ผู้นำผู้บริหารจะต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญผู้เขียนไม่แน่ใจว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ศึกษาเรื่องรามเกียรติ์นี้ลึกซึ้งแค่ไหน หรือเคยชมโขนบางตอนในเรื่องรามเกียรติ์โดยไม่เผลอหลับไปก่อนบ้างหรือไม่ แต่คงจะต้องได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับรามเกียรติ์มาบ้าง อย่างน้อยก็ต้องรู้จักหลักการที่ว่า
“ธรรมะย่อมชนะอธรรม” ที่อยู่ในวรรณคดีแนวนี้บ้าง แต่ว่าเมื่อได้มาเห็นวิธีการที่นายกฯ คนนี้สู้กับอดีตนายกฯ ผู้เป็นนักโทษชายคนนั้นแล้ว ก็เลยไม่ค่อยแน่ใจว่าคุณอภิสิทธิ์จะ “มีปัญญา” ในเรื่องนี้หลังการตัดสินคดียึดทรัพย์เมื่อวันที่ 26 ก.พ. หลายคนคาดหวังว่ารัฐบาลจะมีอะไรเด็ดๆ ที่จะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ซึ่งก็เห็นแต่ให้ลิ่วล้อบริวารและกลไกรัฐบางส่วนออกมาตามล้างตามเช็ดไล่เก็บเศษเงินของใครบางคนเท่านั้น ในขณะที่
“ผู้นำ” คือคุณอภิสิทธิ์ไปแอบอยู่หลังฉาก รวมทั้งทำให้เห็นว่าเป็นแค่การไล่ล้างตัวคน มากกว่าที่จะต่อสู้เพื่อหลักการในบ้านเมืองถ้าคุณอภิสิทธิ์อยากจะเป็นผู้นำที่แท้จริง และปรารถนาที่จะสร้างตัวสร้างตนให้อยู่ในประวัติศาสตร์ ว่าได้สร้างอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติบ้าง โอกาสอย่างนี้คุณอภิสิทธิ์น่าจะใช้สร้าง
“หลักการ” สักสิ่งหนึ่งที่จะช่วยค้ำจุนประเทศไทยให้อยู่รอดได้ในระยะยาว นั่นก็คือหลักการเรื่อง “คุณธรรม” โดยใช้กรณีความชั่วช้าของนักการเมือง ไม่เฉพาะแต่อดีตนายกฯ โคตรโกงคนนั้น แต่หมายถึงนักการเมืองเลวๆ ทุกคนที่กำลังทำลายล้างประเทศไทยนั้นด้วยคุณอภิสิทธิ์อย่าไปเสียเวลาสู้กับคนคนเดียวที่กำลังหมดท่าและไร้ค่า แต่คุณอภิสิทธิ์ต้องวางหลักการที่จะต่อสู้กับ
“อธรรม” ทุกรูปแบบ คุณอภิสิทธิ์ไม่ควรมา “เล่น” แค่จะเอาชนะทางการเมือง แต่จะต้องชี้และรณรงค์ให้สังคมเห็นว่า การร่วมมือกับคนชั่วคนโกงก็คือการร่วมเป็นคนร้ายคนเลวตามไปด้วย ที่สุดก็อาจจะทำลาย “หลักกู” และแนวร่วมของใครบางคนลงไปได้ไม่ต้องถึงขั้นคิดเป็นรัฐบุรุษ แค่เป็นพระราม
“มาร์ค” ก็ชื่นใจแล้ว !

