posttoday

วัยรุ่นต้องมีหัวใจ วัยดึกต้องมีสมอง

17 มีนาคม 2555

แคลิฟอร์เนียโดยเฉพาะในบริเวณโอ๊กแลนด์และซานฟรานซิสโกมีชาวเอเชียอาศัยอยู่มาก

แคลิฟอร์เนียโดยเฉพาะในบริเวณโอ๊กแลนด์และซานฟรานซิสโกมีชาวเอเชียอาศัยอยู่มาก ส่วนใหญ่เป็นคนจีนที่ตั้งรกรากมาเป็นรุ่นที่สอง หรือสามแล้วก็มี ในปี ค.ศ. 1960 นั้นมีชาวเอเชียอาศัยอยู่ในซานฟรานซิสโกถึง 1 ใน 4 ของประชากร ส่วนชาวต่างชาติอื่นๆ ก็มีไม่น้อย จึงถือว่าซานฟรานซิสโกเป็น Melting Pot อันแปลว่า หม้อไฟ หรือแหล่งจับฉ่าย หรือจุดหลอมรวมของชาวต่างชาติใหญ่แห่งหนึ่งของสหรัฐคงไม่ผิดนัก

เมืองซานฟรานซิสโกตั้งอยู่บนอ่าวทางมหาสมุทรแปซิฟิก มีทัศนียภาพงดงามแต่ก็ตั้งอยู่บนแนวแผ่นดินไหว มีหมู่เกาะเล็กเกาะน้อยเป็นบริวารมากมาย ในหมู่เกาะนี้มีเกาะที่มีชื่อเป็นที่รู้จักกันดี คือ เกาะอัลคาทราซ (Alcatraz) ซึ่งใช้เป็นที่คุมขังอาชญากรดังๆ ของสหรัฐ เช่น นายใหญ่มาเฟีย นายอัลคาโพน เป็นต้น เดี๋ยวนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปแล้ว

ประวัติของเมืองซานฟรานซิสโก เริ่มขึ้นปี ค.ศ. 1776 เมื่อชาวสเปนเริ่มมาตั้งถิ่นฐาน ต่อมาในปี ศ.ศ. 1821 เม็กซิโกเข้ายึดเมืองนี้และผนวกเข้าประเทศของตัวเอง หลังจากนั้นเกิดสงครามระหว่างเม็กซิโกและอเมริกาเรียกว่า MexicanAmerican War และชาวอเมริกันได้รับชัยชนะจึงยึดเมืองซานฟรานซิสโกกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ซานฟรานซิสโกเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อมีการค้นพบทองคำในปี ค.ศ. 18481849 คนจำนวนมากหลั่งไหลเข้าแสวงหาความร่ำรวย ตามติดมาด้วยอาชญากร โสเภณี และนักการพนัน เวลานั้นซานฟรานซิสโกจึงแทบเป็นเมืองเถื่อน

เพื่อเชื่อมต่อเมืองซานฟรานซิสโกกับเมืองใหญ่อื่นๆ ทางภาคตะวันออก จึงได้มีการสร้างทางรถไฟขึ้นในปี ค.ศ. 1864

ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีคนจีนที่เข้ามาขายแรงงาน เพื่อสร้างรางรถไฟมากมาย แรงงานจีนเหล่านี้เป็นต้นตระกูลของชาวจีนทั้งในซานฟรานซิสโกและส่วนอื่นๆ ของมลรัฐแคลิฟอร์เนียในเวลาต่อมา

ปี ค.ศ. 1906 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำให้ซานฟรานซิสโกพังทลายลงเกือบทั้งเมือง แต่นั่นก็เป็นโอกาสให้ได้สร้างเมืองใหม่และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เป็นที่น่าสังเกตว่า ผังเมืองที่นั่นไม่เหมือนเมืองอื่นๆ ทางภาคตะวันออกสหรัฐ ซึ่งมักจะมีผังเมืองเป็นตารางหมากรุก ตัดจากเหนือลงใต้ และตะวันออกไปตะวันตก เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ผังเมืองซานฟรานซิสโกนั้น มีความคล้ายคลึงกับประเทศทางยุโรป ที่ตั้งอยู่บนเนินและคดเคี้ยวไปตามภูมิประเทศ

สังคมชาวจีนใหญ่ขนาดที่ China Town หรือเมืองจีนของซานฟรานซิสโกนั้นอาจใหญ่ที่สุด หรือแพ้ที่นิวยอร์กก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น คนจีนที่อยู่ในไชนาทาวน์อาจไม่จำเป็นต้องออกมาภายนอกเลยก็มีทุกอย่างครบครัน

บางคนไปอยู่ที่สหรัฐตั้งแต่อพยพไปจนถึงตายโดยไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษเลยก็มี

พูดถึงไชนาทาวน์ก็ต้องพูดถึงอาหารจีน ชาวจีนที่อพยพไปซานฟรานซิสโกส่วนใหญ่เป็นชาวกวางตุ้ง ไม่ใช่แต้จิ๋วหรือฮกเกี้ยนแบบแถวๆ บ้านเราหรือมาเลเซีย อาหารจีนที่นั่นก็ต้องเป็นแบบกวางตุ้ง แต่ดัดแปลงตามสภาพวัตถุดิบและเครื่องปรุงที่พอหาได้

ในสมัยนั้นวัตถุดิบสำคัญๆ ที่ทำอาหารแบบชาวเอเชียยังไม่มีแพร่หลาย เพราะการขนส่งยังไม่สะดวกรวดเร็ว ผักและเครื่องเทศบางอย่างจะปลูกได้บ้างในฤดูร้อน ถ้าเป็นหน้าหนาวก็หมดสิทธิ

ยุคนั้นยังไม่มีร้านอาหารไทย เพราะเครื่องปรุงสำคัญๆ เช่น พริก ข่า ตะไคร้ และมะนาวหายากยิ่งกว่าขุดทอง รสชาติอาหารจีนหรือไทยในยุคนั้นจึงต้องแปร่งๆ ไปบ้าง ผิดกับปัจจุบันที่หาได้ทุกอย่าง ประเทศไทยมีอะไร อเมริกาก็มีอย่างนั้น เผลอๆ อาจจะดีกว่าสดกว่าและถูกกว่าเสียอีก

อาหารจีนง่ายๆ สำหรับพวกเราก็คือ โจ๊ก ซึ่งทำง่ายที่สุดและรสชาติใกล้เคียงตำรับเดิมที่สุด และผัดก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ซึ่งชาวอเมริกันจะรู้จักในนาม “ช๊อบซุย” ซึ่งเป็นภาษากวางตุ้ง ส่วนผัดไทยนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักหรือยังไม่ติดอันดับอะไรกับเขาเลย

สังคมอเมริกายุค 19581959 นั้น เริ่มร่ำรวยเพราะฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้างแล้ว ทำให้มีความแตกต่างระหว่างคนมีโอกาสกับคนด้อยโอกาสมากขึ้น ทำให้เกิดขบวนการต่อต้านสังคมที่เริ่มจากกลุ่มเล็กๆ ที่เรียกตัวเองว่า พวกฮิปปี้ คือ แอนตี้สังคม ซึ่งแสดงออกถึงการปลีกตัวออกไปใช้ชีวิตที่เรียบง่ายด้วยการแต่งตัวง่ายๆ ปอนๆ อย่างที่เรียกกันในสมัยหนึ่งว่า 5 ย. นั่นคือ ปล่อยผมยาว สวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์ ใส่รองเท้ายางหรือรองเท้าแตะ และถือถุงย่าม เป็นอาภรณ์ประจำตัว

แคลิฟอร์เนียโดยเฉพาะที่ซานฟรานซิสโก ณ เวลานั้นเป็นแหล่งชุมนุมของกลุ่มฮิปปี้ ซึ่งมีอยู่แพร่หลายมากในมหาวิทยาลัยและพวกนักวิชาการ ที่เมืองเบิร์กเลย์ ซึ่งที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งหนึ่งนั้น เป็นแหล่งชาวฮิปปี้แหล่งใหญ่เลยทีเดียว

โดยเนื้อแท้พวกฮิปปี้ไม่มีพิษมีภัยอะไร เพียงแต่เขาระอาชนชั้นกลางและชนชั้นสูง ซึ่งมีค่านิยมไปในทางฟุ้งเฟ้อและให้ความสำคัญกับเงินทอง จึงตอบโต้ด้วยการแต่งตัวและประพฤติตัวแบบง่ายๆ ต่อมาภายหลังมีคนเข้าร่วมขบวนการมากขึ้น พฤติกรรมก็เริ่มเพี้ยนไปบ้าง เช่น มีการสูบกัญชา ใช้ยาเสพติด หรือมั่วเซ็กซ์บ้าง เป็นต้น

พวกเรานักเรียนไทยที่อยู่ในแคลิฟอร์เนียในช่วงเวลานั้นเลยมีโอกาสได้เรียนรู้และได้มีประสบการณ์จากการเปลี่ยนแปลงของสังคมในยุคนั้นโดยตรง แต่ไม่มีผลทางจิตใจหรือความประพฤติของพวกเราเท่าใดนัก เพราะเพื่อนๆ ที่เรียนอยู่ด้วยกันเมื่อกลับมาประเทศไทยแล้ว ไม่เห็นมีใครติดเชื้อฮิปปี้กลับมาเลย

ถ้าว่ากันอย่างเป็นธรรม การที่วัยรุ่นจะประท้วงสังคมโดยวิธีใดวิธีหนึ่งที่ไม่ใช้ความรุนแรงบ้าง ก็มีส่วนดีอยู่เหมือนกัน เพราะจะทำให้สังคมหยุดคิดและทบทวนพฤติกรรมต่างๆ เป็นระยะๆ ได้เหมือนกัน อย่างฮิปปี้โด่งดังมากในปี ค.ศ. 1967 เพราะจัดชุมนุมใหญ่แล้วมีผู้มาร่วมกว่า 1 แสนคน ในหลายๆ เมือง ไม่เว้นแม้แต่ในยุโรป ซึ่งเรียกเหตุการณ์นั้นว่า Summer of Love โดยมีซานฟรานซิสโกเป็นศูนย์กลางการปฏิวัติของฮิปปี้ และจัดงานเทศกาลดนตรีที่วูดสต๊อกในปี ค.ศ. 969 แต่หลังสงครามเวียดนามได้ยุติลงในช่วงกลางทศวรรษที่ 70 กระแสสิทธิมนุษยชนจึงอ่อนลง ฮิปปี้ก็อันตรธานไปตามกาลเวลา

ช่วงวัยรุ่นป็นช่วงวัยที่มีคำถามและมักต่อต้านสังคมมาแทบทุกยุคทุกสมัย แต่เมื่ออายุมากขึ้น มีครอบครัว มีความรับผิดชอบ ความนึกคิดของเราก็กลับมาสู่กระแสหลัก เป็นธรรมชาติ

จึงมีคำพูดที่ว่า ในวัยรุ่นถ้าเราไม่เอียงซ้ายก็เป็นคนไม่มีหัวใจ แต่ถ้าเข้าวัยดึกแล้วยังเอียงซ้ายอยู่ก็เป็นคนที่ไม่มีสมอง คำพังเพยนี้สะท้อนธรรมชาติและวิถีชีวิตคนทั่วไปได้อย่างดี

แน่นอนว่าทุกอย่างมีข้อยกเว้น และในสังคมย่อมมีผู้คิดต่างอยู่ตลอดเวลา

ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น

ข่าวล่าสุด

การปรับบุคลิกของ ChatGPT สู่รูปแบบคำตอบที่ตรงใจยิ่งขึ้น