ความไม่รู้...สถิติทำแท้งเถื่อนพุ่งปี 1.2 แสนราย
จากสถิติพบว่าแต่ละปีมีผู้หญิงเดินเข้าหาคลินิกเถื่อนหรือวิธีการอื่น เพื่อให้แท้งถึง 1.2 แสนราย
โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน
ภายใต้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 305 (1) (2) และมาตรา 276, 277, 282, 283 และ 284 และข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ ได้กำหนดให้แพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเป็นผู้ยุติการตั้งครรภ์แก่ผู้หญิงตั้งครรภ์ได้ใน 6 กรณี
1) การตั้งครรภ์นั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพทางกายของผู้หญิง
2) การตั้งครรภ์นั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพทางใจของผู้หญิง
3) ทารกในครรภ์มีความพิการรุนแรง
4) การตั้งครรภ์ที่เกิดจากการถูกข่มขืนกระทำชำเรา
5) การตั้งครรภ์ในเด็กหญิงที่อายุไม่เกิน 15 ปี
6) การตั้งครรภ์มาจากเหตุล่อลวง บังคับ หรือข่มขู่ เพื่อทำอนาจาร สนองความใคร่
แต่ปัญหาก็คือ การให้ความรู้และการสร้างความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวอ่อนด้อยและไม่แพร่หลายเท่าที่ควร เป็นเหตุให้ผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่ไม่พร้อมจะมีบุตรหรือตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์หาทางออกด้วยการ “ทำแท้งเถื่อน” ซึ่งจากสถิติพบว่าแต่ละปีมีผู้หญิงเดินเข้าหาคลินิกเถื่อนหรือวิธีการอื่น เพื่อให้แท้งถึง 1.2 แสนราย
นพ.สมบูรณ์ คุณาธิคม ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย บอกว่า จากอดีตถึงปัจจุบัน วิวัฒนาการทางการแพทย์ที่พัฒนาขึ้น เอื้อให้การยุติการตั้งครรภ์ปลอดภัยยิ่งขึ้น ส่งผลให้รูปแบบคลินิกทำแท้งเถื่อนเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
อดีต : ไม้แทง-สารเคมีฉีด
ในอดีตวิธีการทำแท้งตามทางการแพทย์ในอายุครรภ์ไม่เกิน 3 เดือน คือ การขูดมดลูก หากอายุครรภ์เกิน 4 เดือน จะใช้วิธีฉีดน้ำเกลือเข้มข้นเข้าไปในถุงเด็ก แล้วใช้เครื่องมือถ่างปากมดลูกเพื่อคีบเด็กออกมา
สำหรับการทำแท้งเถื่อนในขณะนั้นมีหลากหลายวิธี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอันตรายแก่ผู้ตั้งครรภ์ทั้งสิ้น อาทิ การใช้มือกดหน้าท้องอย่างรุนแรง เพื่อดันให้มดลูกเคลื่อนออกมาข้างนอก หากมีอายุครรภ์มากขึ้นจะใช้วิธีฉีดสารแปลกปลอมเข้าไปในโพรงมดลูก เช่น น้ำสบู่ น้ำยาล้างจาน หรือแม้แต่น้ำยาล้างห้องน้ำ
นอกจากนี้ ยังพบคลินิกเถื่อนบางแห่งใช้วิธีการสอดใส่วัสดุเข้าไปทางปากช่องคลอด เช่น สายยาง ไม้เสียบลูกชิ้น โดยวิธีเหล่านี้มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนถึงขั้นเสียชีวิตได้ เนื่องจากจะติดเชื้อในกระแสเลือด เกิดการอักเสบ มีภาวะช็อก ตกเลือดไม่หยุด เพราะมดลูกทะลุ
“ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น หากส่งไปยังโรงพยาบาลไม่ทันโอกาสเสียชีวิตค่อนข้างสูง แต่หากถึงมือหมอทันเวลาก็อาจต้องตัดมดลูก ส่งผลให้ไม่สามารถมีบุตรได้ในอนาคต” นพ.สมบูรณ์ ระบุ
ปัจจุบัน : ยาเม็ดรับประทาน
ปัจจุบันการทำแท้งตามทางการแพทย์จะใช้ยา 2 ประเภท โดยยากลุ่มแรก ได้แก่ “ยาต้านฮอร์โมน” มีผลทำให้ฮอร์โมนในร่างกายต่ำจนไม่สามารถตั้งครรภ์ต่อได้ ยาอีกกลุ่ม ได้แก่ “ยาบีบรัด” ช่วยให้มดลูกบีบรัดตัวเพื่อเคลื่อนตัวเด็กออกมา
ยาทั้ง 2 กลุ่มนี้ มีทั้งชนิดเม็ดซึ่งขนาดของยาจะแปรผันตามอายุครรภ์และชนิดสอดช่องคลอด โดยยาเหล่านี้ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก
ทว่า ในประเทศไทยยาต้านฮอร์โมนยังไม่ผ่านการรับรองให้นำเข้ามาขายจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทั้งหมดจึงเป็นยาที่ลักลอบนำเข้ามาจากต่างประเทศ ส่วนยาบีบรัดเป็นยาที่อนุญาตให้สั่งจ่ายได้เฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น
สำหรับการทำแท้งเถื่อนแน่นอนว่า มีผู้ลักลอบนำเข้ายาทั้ง 2 ชนิดเข้ามาจำหน่าย แต่ไม่ชัดเจนว่ายามีความปลอดภัยหรือไม่ และการให้ยา รวมถึงขนาดการใช้ยาอาจเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง ท้ายที่สุดอาจขับรกออกมาได้ไม่หมด สุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเสียชีวิตเช่นกัน
นี่เป็นรูปแบบการทำแท้งเถื่อนที่เปลี่ยนไป...จากการเข้าไปให้หมอขูดมดลูกเพื่อบังคับให้เด็กออก เปลี่ยนมาเป็นการเข้าไปรับยาจากหมอในคลินิก ซึ่งตรวจสอบได้ยากว่าคลินิกดังกล่าวให้บริการทำแท้งเถื่อน เพราะเป็นการเปิดบริการการรักษาโรคทั่วไปเหมือนคลินิกถูกกฎหมายปกติ
แท้งเถื่อนปีละ 1.2 แสนราย
นพ.สมบูรณ์ ฉายภาพสถานการณ์ทำแท้งในปัจจุบันว่า อัตราการตั้งครรภ์ของหญิงไทยมีประมาณ 1.1 ล้านราย คลอดบุตร 8 แสนราย
นั่นเท่ากับว่าอีก 3 แสนราย ไม่มีการคลอด
หากจำแนกลงไปจะพบว่า ใน 3 แสน ราย ที่ไม่มีการคลอดนั้นเป็นการแท้งตามธรรมชาติประมาณ 1.4-1.6 แสนราย อีกครึ่งหนึ่งถูกชักนำให้เกิดการทำแท้ง
ครึ่งหนึ่งของการแท้งที่ถูกชักนำ เป็นการชักนำตามกฎหมาย เนื่องด้วยเข้าเงื่อนไขให้ยุติการตั้งครรภ์ร่วม 3 หมื่นราย
เท่ากับว่า 1.2 แสนราย คือ จำนวนผู้ทำแท้งเถื่อนในแต่ละปี
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ผู้หญิงจำนวนหนึ่งต้องเข้าไปใช้บริการคลินิกนรกที่หากินจากเด็กในครรภ์...
ทั้งที่ผู้หญิงเหล่านี้อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่า การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์นั้นยังมีทาง ออกนอกเหนือจากเลือกใช้วิธีการเถื่อน


