สถาบันคุ้มครองเงินฝากมีก็เหมือนไม่มี
สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) โดนพิษ พ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 1.14 ล้านล้านบาท
โดย...เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง
สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) โดนพิษ พ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 1.14 ล้านล้านบาท ทำให้ต้องออกมานั่งยันนอนยันว่ายังมีความสามารถคุ้มครองเงินฝากได้เป็นปกติเป็นรายวันไปแล้ว
ล่าสุด สิงหะ นิกรพันธุ์ ผู้อำนวยการ สคฝ. ก็ต้องออกมาแจงอีกครั้ง ผลจาก พ.ร.ก.โอนหนี้ ทำให้สถาบันการเงินธนาคารพาณิชย์ต้องลดนำเงินส่ง สคฝ. จาก 0.4% ของเงินฝาก เหลือแค่ 0.01% ของเงินฝาก เพื่อโอนไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เก็บแทนไปใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ไม่กระทบผู้ฝากเงินแน่นอน
ผู้อำนวยการ สคฝ. ระบุเหตุผลที่มั่นใจขนาดนั้น เพราะว่าสถาบันการเงินธนาคารพาณิชย์แข็งแกร่งไม่มีปัญหา มีเงินกองทุนแข็งแรงสูงกว่าที่ ธปท.กำหนดถึง 2 เท่า
แต่เรื่องการเก็บเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากที่ลดลงจนแทบไม่มีเหลือให้เก็บ ผู้อำนวยการ สคฝ. กลับแจงว่า หากมีปัญหาเงินกองทุนที่ สคฝ.มีอยู่ประมาณ 1 แสนล้านบาท ไม่พอ ก็จะไปกู้ธนาคารมาโปะใช้ผู้ฝากเงิน
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้องค์กรที่ควรสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ฝากเงิน มาเป็นผู้บั่นทอนความเชื่อมั่นให้ผู้ฝากเงินเสียเอง
เพราะแทนที่ สคฝ.จะสร้างหลักประกันดูแลผู้ฝากเงิน 60 ล้านบัญชี ด้วยลำแข้งของตัวเอง แต่กลับเป็นว่าไม่เป็นไร เงินไม่พอไปยืมคลังมาใช้ไปก่อน ทำให้ผู้ฝากเงินอดผวาไม่ได้
เนื่องจาก สคฝ.รับสารภาพหมดตัวว่า หากเกิดปัญหาการเงิน ลำพังเงินที่มีอยู่ไม่พอต้องยืมเงินคลัง ก็ไม่ต่างอะไรกับที่กองทุนฟื้นฟูฯ ทำมาในอดีต และเป็นปัญหาต้องมานั่งสางไม่จบสิ้น
สคฝ.ถูกตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขจุดอ่อนหนึ่งที่นำไปสู่วิกฤตการเงินปี 2540 เนื่องจากขณะนั้นรัฐบาลเข้าไปรับประกันทั้งผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ ทำให้กองทุนฟื้นฟูฯ ต้องแบกรับความเสียหายกองใหญ่เท่าภูเขาถึงทุกวันนี้
การที่รัฐบาลเข้าไปรับประกันทั้งผู้ฝากและเจ้าหนี้ เหมือนเป็นการเพิ่มพูนปัญหาให้ใหญ่ขึ้นไปด้วย เพราะทั้งสถาบันการเงินก็ทำธุรกิจไม่ระวัง ผู้ฝากเงินก็ไม่สนใจพิจารณาความเสี่ยงของสถาบันการเงินที่ไปใช้บริการ เพราะรู้ว่ามีปัญหาอะไรรัฐบาลรับใช้ให้หมด
หลังจากวิกฤตปี 2540 ผ่านไปได้ระยะหนึ่ง ก็มีการดำเนินการตั้ง สคฝ.อย่างจริงจัง เพื่อมาดูแลผู้ฝากเงินเป็นการเฉพาะ โดยจะดูแลรับประกันเพียงบางส่วนเท่านั้น เพื่อให้เกิดความระมัดระวังการใช้บริการสถาบันการเงินมากขึ้น
เรียกได้ว่า ก่อนจะไปฝากเงินก็ต้องดูตื้นลึกหนาบางของสถาบันการเงินที่จะไปใช้บริการว่าแข็งแรงสมบูรณ์ดี ไม่อมโรคหรือซ่อนโรคร้ายไว้ข้างหลัง เพราะหากดูไม่ดีก็มีโอกาสเข้าเนื้อ
ขณะที่สถาบันการเงินก็ต้องปรับตัวให้แข็งแรง ไม่สร้างภาพว่าข้างนอกดูดี แต่ข้างในกลวง มีแต่ปัญหาความเสี่ยงเหมือนช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง
จะเห็นว่าวัตถุประสงค์ของการตั้ง สคฝ.เป็นการสร้างระบบการเงินให้แข็งแรงทั้งด้านผู้ฝากเงินและสถาบันการเงิน
การดำเนินการของ สคฝ.ก็ดูไปได้สวย ตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งคุ้มครอง 100% และกฎหมายได้กำหนดให้ปรับการคุ้มครองเงินฝากมาอยู่ 50 ล้านบาทต่อรายในปัจจุบัน และจะลดเหลือ 1 ล้านบาทต่อรายในเดือน ส.ค.นี้ ครอบคลุมบัญชีเงินฝากถึง 98.5%
การเก็บเงินเข้ากองทุน 0.4% ก็ได้เงินปีละ 2 หมื่นกว่าล้านบาท จนปัจจุบันมียอดเฉียด 1 แสนล้านบาท แต่ก็เป็นเพียงครึ่งเดียวของเป้าหมายที่คาดว่าจะเก็บให้ได้ 2 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับดูแลผู้ฝากเงินได้ในระดับหนึ่ง โดยที่ไม่ต้องไปยืมเงินคลัง
แต่ทั้งหมดในวันนี้กำลังถอยหลังเข้าคลอง หลังจาก สคฝ.ปล่อยให้การเมืองเข้าแทรกแซงการทำงานอย่างไม่มีปากเสียง และไม่ยืนอยู่บนหลักการอย่างมั่นคงของการจัดตั้ง สคฝ.
สิงหะ ออกมาบอกว่า เห็นด้วยกับนโยบายรัฐบาลที่ออก พ.ร.ก.เก็บค่าต๋งธนาคารพาณิชย์ไปใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ถือว่าไม่ใช่เรื่องผิด แต่การที่ สิงหะ ยอมปล่อยให้การเมืองมาล้วงเงินในสัดส่วนของกองทุนคุ้มครองเงินฝาก ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องนัก
อย่างน้อยก็ต้องมีความเห็นยืนยันเป้าหมายว่าเงินกองทุนคุ้มครองเงินฝากควรต้องถึง 2 แสนล้านบาท หลังจากนั้นถึงจะสามารถขยับลดสัดส่วนที่สถาบันการเงินส่งเงินให้กองทุนได้
เพราะก่อนหน้านี้ สคฝ.ก็ยืนยันว่าเป็นระดับที่ไม่เหมาะสม แต่มาถึงวันนี้กลับบอกว่าไม่จำเป็น ทำให้ สคฝ.ถูกมองว่าเป็นองค์กรที่ไม่มีหลักการ ลื่นไหลไปตามนโยบายการเมือง
ขณะที่คณะกรรมการของ สคฝ. ส่วนใหญ่ก็เป็นข้าราชการและอดีตข้าราชการ ทำให้กล้าแสดงจุดยืนอย่างที่ควรจะเป็น เพราะกรรมการที่เป็นข้าราชการอยู่ ก็กลัวมีผลต่อความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ ในขณะที่กรรมการที่เป็นอดีตข้าราชการก็กลัวว่าถ้าเห็นแย้งกับนโยบายของรัฐก็จะถูกปรับออกจากการเป็นกรรมการ
การเมืองไม่ได้เข้าแทรกการทำงานของ สคฝ.ในเรื่องของการเก็บเงินเข้ากองทุนอย่างเดียวเท่านั้น
กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ยังให้นโยบาย สคฝ.ไปทบทวนปรับเพิ่มการคุ้มครองเงินฝากให้มากกว่าเดิม
นั่นหมายความว่าการคุ้มครองเงินฝากที่จะไปถึงเป้าหมายสำคัญในเดือน ส.ค. 2555 ที่การคุ้มครองอยู่ไม่เกิน 1 ล้านบาท ไม่มีความหมายอีกต่อไป
นโยบายการให้คุ้มครองเงินฝากเพิ่ม ถือเป็นการเดินถอยหลังเข้าคลองอย่างแท้จริงของ สคฝ.
แต่ก็ยังปรากฏว่าทั้งผู้บริหาร สคฝ. และกรรมการ สคฝ. กลับวางตัวเฉยกับนโยบายถอยหลังดังกล่าว ทั้งๆ ที่ควรจะออกมายืนยันว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะการคุ้มครองที่ 1 ล้านบาท ก็ครอบคลุมคนส่วนใหญ่ของผู้ฝากเงินอยู่แล้ว
การเพิ่มวงเงินผู้ฝากไม่ได้ช่วยผู้มีเงินฝากน้อยมากขึ้น แต่เป็นผลลบเพราะถูกมองว่าเป็นการช่วยคนรวยจำนวนน้อยแต่มีเงินฝากจำนวนมากมหาศาล
ที่สำคัญการเพิ่มการคุ้มครอง ยังเป็นการตีแสกหน้า สคฝ. เป็นองค์กรที่มีกฎหมายแต่ไร้อำนาจบังคับดำเนินการ การเมืองอยากจะให้เปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้หมด
พูดง่ายๆ ว่าไม่จำเป็นต้องมี สคฝ.อีกต่อไปก็ได้ เพราะมีองค์กรแต่ไม่มีอะไรให้ทำ การเก็บเงินจากสถาบันการเงินก็แทบไม่เหลือ เงินไม่พอก็กู้จากคลังได้ การคุ้มครองเงินก็จะขยายเพิ่มกลับไปเป็นอดีต
ทั้งหมดจึงเป็นคำถามว่า ในช่วงอีกกว่า 20 ปีที่ ธปท.เก็บค่าต๋งจากธนาคารพาณิชย์ สคฝ.จะทำอะไร เพราะดูแล้วไม่สามารถไปเก็บเงินค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นได้เลย
นอกจากนี้ หากมีการขยายการคุ้มครองเงินฝากเพิ่มขึ้น สคฝ.จะสร้างหลักประกันให้ผู้ฝากเงินอย่างไร
แค่ลำพังประกันเงินฝาก 1 ล้านบาท ยังมีเงินกองทุนไม่พอ และต้องคุ้มครองเพิ่ม สคฝ.จะหาเงินมาจากไหน นอกจากกู้แล้วกู้อีก หนีไม่พ้นนำเงินภาษีของคนส่วนใหญ่ไปช่วยคนรวยส่วนน้อย
การเมืองที่เข้าแทรก และจุดยืนของ สคฝ.ที่ไม่มั่นคง ส่งผลให้ สคฝ.วันนี้อลหม่านไปจนจับต้นชนปลายไม่ถูก นโยบายต่างๆ สวนทางไม่สอดรับสร้างความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการลดเงินนำส่ง แต่กลับไปเพิ่มวงเงินคุ้มครอง เป็นต้น
ที่สำคัญองค์กรที่ควรสร้างความเชื่อมั่น เป็นกำแพงคุ้มกันความเสี่ยงให้กับผู้ฝากเงิน ยังเอาตัวเองไม่รอดจากนโยบายการเมือง ที่ทำให้ สคฝ.กลายเป็นองค์กรที่มีก็เหมือนไม่มี
เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้ผู้ฝากเงินไว้ใจ สคฝ.ต่อไปได้อย่างไร


