posttoday

รากความคิด"อำมาตย์เทียม"ผมไม่ได้พาคนไปตาย

11 กุมภาพันธ์ 2555

"คนที่เขาฆ่ากันเป็นหมื่นๆแสนๆ ชีวิตอย่าง เหมาเจ๋อตงกับเจียงไคเช็ก วันหนึ่งก็มีภาพจับมือเจรจาที่ฉงชิ่ง"

"คนที่เขาฆ่ากันเป็นหมื่นๆแสนๆ ชีวิตอย่าง เหมาเจ๋อตงกับเจียงไคเช็ก ฆ่ากันไปฆ่ากันมา วันหนึ่งก็มีภาพจับมือเจรจาที่ฉงชิ่ง อันนี้มันเป็นเรื่องประวัติศาสตร์มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์การต่อสู้ในประเทศไทย"

โดย..ธรรมสถิตย์ ผลแก้ว 

รากความคิด"อำมาตย์เทียม"ผมไม่ได้พาคนไปตาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

จากแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตีตราตนเองเป็น"ไพร่" โค่นล้ม "อำมาตย์" ผ่านมาวันนี้ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ"หรือเพื่อนๆแกนนำหยอกล้อเล่นหัว เรียก"ไอ้เต้น" พลิกสถานะเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์มีบริวารข้าราชการห้อมล้อมขับขาน "ท่านรัฐมนตรี"ไม่ต่างกับการเปลี่ยนแปลงจากความเป็นไพร่มาเป็นอำมาตย์ บทบาทและสถานะที่เคยขีดวงตัวเองเป็นไพร่และกำหนดให้ผู้อื่นเป็นอำมาตย์ย้อนศรกลับมาสู่ตนเอง สร้างเงื่อนปมทางการเมืองให้ถูกโจมตี จนต้องหาคำอธิบาย

"ผมคิดว่าคำว่าไพร่หรืออำมาตย์ที่ผมอธิบายมันไม่ได้อธิบายโดยศักดิ์ฐานะหรือตำแหน่งหน้าที่การงาน มันไม่ได้อยู่ที่เก้าอี้ตัวใหญ่ที่คุณนั่ง อยู่ที่จิตวิญญาณ อยู่ที่รูปการณ์ จิตสำนึกของคุณต่างหากว่าเป็นแบบไหน" ณัฐวุฒิเริ่มต้นสนทนาในบรรยากาศที่นอกห้องทำงานชุลมุนกับบรรดาผู้มารอแสดงความยินดีต่อตำแหน่งเสนาบดีคนใหม่ ซึ่งผ่านมาถึงเดือน ก.พ. ก็ยังเป็นไปด้วยความคึกคัก

ณัฐวุฒิ บอกว่า ถ้าคุณมองเห็นคนเท่ากันคุณเคารพ ในหลักการอุดมการณ์ของประชาธิปไตยแล้วก็เดินไปตามแนวทางนี้ คุณยิ่งใหญ่แค่ไหนคุณก็ถือว่าเป็นประชาชน แปลแล้วก็เท่าเทียมกัน แต่ถ้าคุณเห็นว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ไร้การศึกษายังไม่พร้อมจะดูแลบ้านเมืองด้วยตัวเองยังต้องรอการตัดสินใจการชี้นำ หรือว่าการตัดสินใจของคนส่วนใหญ่ถ้าไม่ถูกใจคนกลุ่มหนึ่งก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และคนกลุ่มนั้นก็จะนำพาบ้านเมืองไปตามที่พวกเขาต้องการโดยอ้างว่าหวังดีต่อคนทั้งประเทศ แบบนี้ถือว่าเป็นวิธีคิดแบบอำมาตย์

"สิ่งที่ผมอธิบายมันไม่ได้สะท้อนออกมาในเรื่องฐานะทางเศรษฐกิจไม่สะท้อนออกมาเรื่องตำแหน่งหน้าที่การงาน สะท้อนออกมาเรื่องวิธีคิด แล้วเดี๋ยวนี้เรานั่งดูทีวี นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เราก็จะเห็นเลยว่ารากความคิดของใครไปในทิศทางไหน ถึงบอกว่าไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างบุคคลหรือกลุ่มคน เป็นการต่อสู้ระหว่างรากอุดมการณ์อย่างแท้จริง"

นี่เป็นการให้ความหมายระหว่างคำว่า "ไพร่"และ "อำมาตย์" ในมุมมองของณัฐวุฒิเมื่อเขาต้องประสบด้วยตัวเอง  แม้ณัฐวุฒิพยายามชี้ให้เห็นคำว่า ไพร่อำมาตย์เกิดขึ้นจากอุดมการณ์ทางความคิด แต่ไม่อาจปฏิเสธ เมื่อครั้งการปลุกระดมบนเวทีเสื้อแดง ณัฐวุฒิเป็นแกนนำคนหนึ่งหยิบยกตัวบุคคลมาเป็นสัญลักษณ์ของอำมาตย์

การพูดคุยกับโพสต์ทูเดย์ครั้งนี้เขาพยายามอธิบายว่า เมื่อพูดถึงอำมาตย์ต้องยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม เมื่ออธิบายตัวอย่างจะมีเงาร่างของบุคคลทาบทับอยู่ บางคนบางกลุ่มกลายเป็นสัญลักษณ์หรือกลายเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นต่ออุดมการณ์ด้านใดด้านหนึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาแต่ไม่ได้หมายความว่าล้มหายตายจากกันไปแล้วสิ่งนั้นจะหายไปด้วย อุดมการณ์ความคิดนั้นก็ยังอยู่

"สมมติถ้าเขาบอกว่าขบวนการประชาธิปไตยในบ้านเมืองนี้มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้นำสูงสุดหยิบ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปไว้ดาวอังคารขบวนการนี้ก็ยังอยู่ ถ้าเขาบอกว่าคนเสื้อแดงมีนายณัฐวุฒินายจตุพร นายอะไรต่ออะไรเยอะแยะเป็นแกนนำสำคัญ หยิบพวกผมไปไว้ที่ดวงจันทร์ขบวนการนี้ก็ยังอยู่ และสิ่งที่ผมพูดผมอธิบายก็จะถูกอธิบายโดยคนอื่นๆที่มาทำหน้าที่แทน"

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องถามณัฐวุฒิตรงๆเมื่อมีกิจกรรมทำงานร่วมกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ประธานองคมนตรี จะอึดอัดลำบากใจไหมณัฐวุฒิผู้ซึ่งเคยพามวลชนเสื้อแดงบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ และปลุกระดมขับไล่ พล.อ.เปรมปฏิเสธทันทีว่า อย่าเอาตัวบุคคลเป็นจุดปะทะของสถานการณ์      

รากความคิด"อำมาตย์เทียม"ผมไม่ได้พาคนไปตาย

"ผมไม่เคยมีความรู้สึกเป็นศัตรูส่วนตัวกับใครเลยที่มีจุดยืนตรงข้ามกันทางการเมือง ตรงกันข้ามผมรู้สึกปรารถนาดีต่อคนเหล่านั้นด้วยซ้ำไป ความปรารถนาดีหมายถึงอยากให้รู้สึกดีๆ ต่อกันแล้วก็เข้าใจกันว่าใครคิดอะไร แล้วก็ช่วยกันนำพาบ้านเมืองให้ไปสู่ทางออกที่ดีได้คำว่าทางออกที่ดีตัวชี้วัดมันไม่ได้อยู่ที่ถูกใจผมหรือถูกใจฝ่ายตรงข้าม แต่ตัวชี้วัดคือประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์และยอมรับมัน"

"เพราะฉะนั้นไม่มีความจำเป็นว่าไปเจอใครแล้วจะรู้สึกตะขิดตะขวง รู้สึกอึดอัดขัดข้องเพราะมันไม่ใช่ศัตรูส่วนตัวกัน คนที่เขาฆ่ากันเป็นหมื่นๆแสนๆ ชีวิตอย่าง เหมาเจ๋อตง กับเจียงไคเช็ก ฆ่ากันไปฆ่ากันมาวันหนึ่งก็มีภาพจับมือเจรจาที่ฉงชิ่ง อันนี้มันเป็นเรื่องประวัติศาสตร์มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์การต่อสู้ในประเทศไทย"

ล่าสุดรัฐบาลยิ่งลักษณ์จัดงานรื่นเริงยิ่งใหญ่"รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย"เมื่อวันศุกร์ที่ 10 ก.พ. ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยเชิญพล.อ.เปรม มาร่วมงานหวังฉายภาพความปรองดอง แม้แต่ณัฐวุฒิก็ต้อนรับด้วยความยินดีปรีดาเมื่อเป็นเช่นนี้ในฐานะที่ยังสวมหมวกแกนนำเสื้อแดงยืนยันโค่นล้มอำมาตย์ต่อไปหรือไม่

ณัฐวุฒิกลับบอกว่า เราต้องทำให้ประชาชนแข็งแรงขึ้น และเครือข่ายระบอบอำมาตยาธิปไตยอ่อนแอลงจนไม่สามารถมีอิทธิพลเหนือโครงสร้างหลักของสังคมได้อีก นั่นก็คือ เรามาถึงความสำเร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ล้มหายตายจากกันไป คู่ต่อสู้ของประชาธิปไตยไม่ใช่ตัวบุคคล แต่เป็นรากความคิดเป็นหลักทฤษฎีเป็นโครงสร้างทางสังคมที่ไม่เอื้อให้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ นี่เป็นการปะทะกันของ 2 แนวคิด 2 แนวทางอุดมการณ์ ไม่ใช่เป็นการปะทะกันระหว่างนาย ก. กับนาย ข. หรือว่าระหว่างกองทัพของนายณัฐวุฒิกับกองทัพของนายอะไรอีกนายหนึ่ง หรือว่า พ.ต.ท.ทักษิณหรือ พล.อ.เปรม ไม่ใช่ แต่ว่าคนเหล่านี้ก็เป็นตัวแทนของรากอุดมการณ์หนึ่ง คนอีกกลุ่มหนึ่งก็เป็นตัวแทนของรากอุดมการณ์หนึ่งแล้วเผชิญหน้ากัน หักล้างกันก็จะถึงวันยุติแล้ววันที่ยุติเชื่อว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะได้รับชัยชนะ 

หากรากความคิด "ณัฐวุฒิ"เป็นไปตามนี้ กับการที่เขายกฐานะเป็นอำมาตย์ ก็คงจะเป็นอำมาตย์เทียมอย่างแน่แท้

 'ผมไม่ได้พาคนไปตาย' 

วิธีทำลายล้างทางการเมืองเป็นงานถนัดของนักการเมืองไทย ซึ่งมักมีการหาบาดแผลแต่ละคนมาตอกย้ำขยายผล อย่างเช่นหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 พล.ต.จำลองศรีเมือง เข้าสู่ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แต่มิวายฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาพาคนไปตาย  เช่นเดียวกับเหตุการณ์ชุมนุมคนเสื้อแดงแกนนำคนเสื้อแดงกล่าวหารัฐบาลอภิสิทธิ์สังหารประชาชน แต่กลับไม่เคยมีคำถามเรื่อง  แกนนำคนเสื้อแดงที่วันนี้เข้าสู่ตำแหน่งบริหารพาคนไปตายหรือเปล่า นอกจากเรียกร้องความรับผิดชอบเอากับรัฐบาลในอดีต แล้วแกนนำคนเสื้อแดงเคยรับผิดชอบต่อผู้สูญเสีย 91 ศพ บ้างหรือไม่?!?

คำถามเหล่านี้ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. จะตอบอย่างไร

"มันไม่มีใครที่จะเดินตามหลังผมไปตายแล้วมันก็ไม่มีใครที่เป็นแกนนำคนไหนคิดจะพาประชาชนไปหาความตาย เพราะอย่าลืมว่าเราเดินนำหน้า ถ้าเดินไปหาความตาย เราเสี่ยงที่จะตายก่อนตลอดเวลา ปัญหาคือ ใครพาคนมาฆ่าที่ราชประสงค์เขาไปๆ กันเคยมีใครถูกฆ่าตายไหม ที่ผ่านฟ้าฯ เขาชุมนุมกันกี่ปีมีกี่ครั้งที่ถูกฆ่าตาย แล้วฆ่าตายเพราะอะไร เพราะนั่งๆ อยู่แล้วตายหรือเพราะมีใครพาคนมาฆ่า เพราะฉะนั้นความตายเกิดจากผู้ฆ่า ไม่ได้เกิดจากผู้ถูกฆ่า"

อย่างไรก็ตาม หากย้อนเวลากลับสู่อดีตไม่ว่าจะเป็นที่บริเวณสะพานผ่านฟ้า หรือแยกราชประสงค์ จะมีแกนนำแดงสายฮาร์ดคอร์พามวลชนส่วนหนึ่งไปปิดล้อมกดดันสถานที่ราชการกองทัพภาคที่ 1 หรือแม้แต่ ณัฐวุฒิ ก็เคยพามวลชนบุกสถานีไทคม จึงทำให้เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ทหาร

คำถามว่า ถ้าโยนให้รัฐบาลขณะนั้นรับผิดชอบแต่ผู้ปลุกระดมคนมาไม่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่สร้างความวุ่นวายใช่ไหม ณัฐวุฒิ ตอบ "ผมรับผิดชอบทุกข้อกล่าวหา แล้วทุกคดีความของผมอยู่ในกระบวนการยุติธรรม แต่ต้องดูว่ามูลเหตุมาจากอะไร ถ้าผมไปล่อลวงเขามา ถ้าผมไปหลอกพี่น้องประชาชน ไปใช้จ้างวานให้มาแล้วไปเรียกให้ฝั่งโน้นมาฆ่า นั่นแหละผมพาคนไปตาย แต่พี่น้องที่เขามาเพราะเขารู้ความจริงว่าบ้านเมืองมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขายอมรับในสิ่งที่มันเป็นไม่ได้ เขาอยากให้มันเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่เป็นประชาธิปไตย เขาเลยรวมพลังกันออกมา"

"สิ่งที่เราทำ มันไม่ได้หมายความว่าเอาคนมาแล้วไปเรียกร้องให้ทางโน้นมาฆ่า เราชุมนุมเคลื่อนขบวนโดยสงบแต่ฝ่ายที่ถืออาวุธเป็นฝ่ายตัดสินใจลั่นไกใส่กระสุน เป็นฝ่ายประกาศเขตกระสุนจริง ถ้าไม่มีผู้ฆ่าจะไม่มีคนตาย จะชุมนุมกันกี่แสนกี่หมื่นถามว่าการไปปิดแยกราชประสงค์เป็นการกดดันให้รัฐบาลต้องใช้กำลัง อธิบายแบบนั้นได้จริงหรือ แล้วการยึดสนามบินสุวรรณภูมิมันหนักกว่าหรือเปล่า การยึดสุวรรณภูมิมีค่าเท่ากับการปิดประเทศ เพราะว่าสายการบินนานาชาติขึ้นลงไม่ได้ แล้วทำไมรัฐบาลชุดนั้นไม่มีความรู้สึกว่าฝ่ายผู้ชุมนุมกำลังกดดันจนต้องใช้กำลังทำไมไม่มีแกนนำพันธมิตรฯ ถูกกล่าวหาว่าพาคนไปตายจากเหตุการณ์นั้น เพราะฉะนั้นมีคนตายเพราะมีคนฆ่า"

ตรรกะแบบ ณัฐวุฒิ คือ "ไม่มีผู้ฆ่าจะไม่มีคนตาย" "ความตายเกิดจากผู้ฆ่า ไม่ได้เกิดจากผู้ถูกฆ่า"

ย้อนเหตุการณ์ที่มีการปลุกระดมคำว่า "ผาวครับพี่น้องผาว"เป็นอีกบาดแผลติดตัว ณัฐวุฒิเพราะต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย เมื่อกลับมาถามอีกครั้งถึงเหตุการณ์วันนั้นว่าการปลุกระดมให้เกิดความรุนแรงผิดไหม ณัฐวุฒิถือโอกาสชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นคนพูดที่สี่แยกราชประสงค์ แต่เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองในครั้งการชุมนุมที่เขาสอยดาวจ.จันทบุรี และสื่อนำเทปมาตัดต่อจึงเหมือนว่าตนเองเป็นคนสั่งเผา

กรณีที่พูดถึงรหัสลับ "ตกใจ" บนเวทีราชประสงค์ จะอธิบายอย่างไร ณัฐวุฒิ บอกว่าผมอธิบายเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายรัฐใช้กำลังเข้ามาปราบปรามประชาชน เจตนาที่แท้ก็คือเพื่อปกป้องความปลอดภัยของประชาชนทั้งหมดไม่ได้มีความคิดที่จะไปหยิบจับอะไรขึ้นมาจริงๆแล้วก็ไปดูเถอะ วันที่ 19 พ.ค. ที่ผมประกาศยุติการชุมนุมก็ประกาศยุติ แล้วบอกพี่น้องทุกคนเดินออกจากเวที ไปสั่งการที่ไหนยังไง ไม่มี

"ผมได้สั่งไหมให้เข้าไปในห้างฯ ไปเอาของไปเอาอะไร ไม่ใช่ ก็บอกว่าหยุดแล้วกลับออกไปจากที่นั่น แล้วคดีความที่เขาอธิบายกันว่าไปหยิบเพชรหยิบพลอย ไปหยิบข้าวของอะไรต่างๆก็ผมเห็นที่อยู่ในศาลคดีลักทรัพย์โทรศัพท์มือถือในห้างมีอยู่ 2-3 คน"

ส่วนกรณีเครื่องประดับในรถของภรรยาคุณขวัญชัย ไพรพนา ณัฐวุฒิย้อนถามว่า แล้วมันเป็นของของเขาหรือของใคร ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเป็นของร้านในห้างแถวนั้น ทำไมไม่ดำเนินคดีกับเมียคุณขวัญชัย แล้วทำไมเรื่องเงียบไปจนถึงเดี๋ยวนี้หรือจะบอกว่าคุณขวัญชัยมีอิทธิพล มีบารมีไปสั่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่ให้เอาเรื่องได้ก็เป็นไปไม่ได้ ไปดูข้อเท็จจริงว่าคดีความเป็นยังไง

"ผมพร้อมที่จะพิสูจน์ทุกคดี ผมยืนยันเรื่องเผาบ้านเผาเมืองที่ว่าสั่งเผา ไปดูเถอะ แล้วกำลังหาคนกล่าวหาต่อหน้าผ่านสื่ออยู่ผมจะได้ฟ้องร้อง มันจะได้พิสูจน์กันในศาล"ณัฐวุฒิกล่าวอย่างมั่นใจ

ปัญหาคือ ใครพาคนมาฆ่า ที่ราชประสงค์เขาไปๆ กันเคยมีใครถูกฆ่าตายไหม ที่ผ่านฟ้าฯเขาชุมนุมกันกี่ปีมีกี่ครั้งที่ถูกฆ่าตาย แล้วฆ่าตายเพราะอะไรเพราะนั่งๆ อยู่แล้วตายหรือเพราะมีใครพาคนมาฆ่าเพราะฉะนั้นความตายเกิดจากผู้ฆ่าไม่ได้เกิดจากผู้ถูกฆ่า

เป็นคนใต้..แต่อยู่นนท์...ไม่สำคัญ

เพราะความเป็นคนใต้ เกิด อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช จึงได้รับมอบหมายโดยตรงให้มาทำหน้าที่ดูแลนโยบายยางพารา ซึ่งจากการแบ่งงานรับผิดชอบ 4 กรม และ 3 รัฐวิสาหกิจ ประกอบด้วย กรมพัฒนาที่ดิน กรมวิชาการเกษตร กรมตรวจสอบบัญชีสหกรณ์กรมส่งเสริมสหกรณ์ องค์การสะพานปลา องค์การสวนยาง และสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง แม้เจ้าตัวยอมรับไม่ใช่งานถนัด กรีดยางก็ยังไม่เป็น แต่ยืนยันเมื่อมาเป็นรัฐมนตรีจะทำให้ราคายางขยับตัวต่อเนื่อง

"พรรคพวกเพื่อนฝูงที่ทำงานด้วยกันรู้ดีว่าผมไม่เคยยอมแพ้แล้วเรื่องยางพารายังไงผมสู้ถึงที่สุดให้ราคายางพุ่งสูงขึ้นไปแน่นอน พยายามส่งเสียงไปยังชาวสวนยางจะยืนเคียงข้างท่านถึงที่สุด" ณัฐวุฒิ กล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มมุมมอง รมช.เกษตรฯ คนใหม่ ให้ความเห็นว่า สิ่งที่เกษตรกรต้องการคือราคายางพาราสูงแบบไม่มีเพดาน ขึ้นไปได้เรื่อยๆประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตยางพาราได้มากที่สุดในโลก เราคือเจ้าตลาดยางพาราของโลก เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ที่น่าจะกำหนดยุทธศาสตร์ เป็นผู้ที่น่าจะมีโอกาสมากที่สุดในการสร้างความแข็งแรง สร้างศักยภาพในสนามแข่งขันนี้

ถึงกระนั้นแม้จะเป็นรัฐมนตรีสำเนียงใต้ แต่ห้วงเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตปักหลักอยู่จ.นนทบุรี ถึงขั้นมีเสียงอื้ออึงชาวนครศรีธรรมราชไม่ต้อนรับ แต่ณัฐวุฒิชิมลางเมื่อต้นเดือน ก.พ.มาแล้ว ด้วยการกลับบ้านเกิด เหตุการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

"ผมจะเป็นคนที่ไหนมันไม่สำคัญ ผมภูมิใจในความเป็นคนปักษ์ใต้ แต่ว่าถ้าคนปักษ์ใต้บางคนบอกว่าผมเป็นคนเมืองนนท์ไปแล้วก็ไม่เป็นไร สำคัญที่สุดคือผมเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำคัญที่สุดคือผมมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในฐานะรัฐมนตรี และผมจะทำสิ่งนี้ มันไม่ได้หมายความว่าผมจะทำเรื่องราคายางเพื่อคนปักษ์ใต้อย่างเดียวเสียเมื่อไรเหนือ อีสาน ภาคกลาง เขาก็ปลูก ยางพาราภาคตะวันออกเขาก็ทำกันมากมายเต็มพื้นที่ เพราะฉะนั้นการทำเรื่องนี้ก็คือการทำเพื่อคนทั้งประเทศ" ณัฐวุฒิ ทิ้งท้าย 

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี