ยกฟ้องไฮโซหนุ่มบุกทวงลัมโบร์กินี
ศาลสั่ง ยกฟ้องหนุ่มไฮโซเจ้าของบริษัทนำเข้ารถสปอร์ตหรูบุกรุกทวงลัมโบร์กินี
ศาลสั่ง ยกฟ้องหนุ่มไฮโซเจ้าของบริษัทนำเข้ารถสปอร์ตหรูบุกรุกทวงลัมโบร์กินี
เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 904 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.4604/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 และบริษัท เวิลด์คลาส ออโตโมบิลี จำกัด ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายภาณุศักดิ์ หรือบอย เตชธีรสิริ อายุ 26 ปี เจ้าของบริษัทยูนิตี้ ออโต สปอร์ต จำกัด ประกอบธุรกิจนำเข้ารถยนต์หรูจากต่างประเทศ , นายมนูญ สุขขาเจริญ อายุ 37 ปี, นายยิ่ง ศรีอนันต์ อายุ 34 ปี , นายเศารยะ ฐานะศิริพงศ์ อายุ 23 ปี และนายพรพรจน์ มุงปัง อายุ 32 ปี เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐาน ร่วมกันบุกรุกโดยมีอาวุธปืนในเวลากลางคืน ,ร่วมกันพยายามข่มขืนใจโดยมีอาวุธและ กระทำความผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 , 362 , 364 , 365 , 371 และ พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ พ.ศ.2490
โดยคดีนี้ อัยการโจทก์ ยื่นฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.51 เวลากลางคืน จำเลยที่ 1-5 กับพวกที่หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก 1 คน ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในอาคารศูนย์แสดงรถยนต์เลขที่ 317 เขตบางกะปิของบริษัท เวิลด์ คลาส ออโตโมบิลี จำกัด ผู้เสียหาย โดยจำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันพูดข่มขู่นางจินตนา สิทธิอิทธิกุล และนางพิมพ์วรา พันพันธุ์ พนักงานของบริษัทดังกล่าว เพื่อให้บุคคลทั้งสองส่งมอบรถยนต์ยี่ห้อลัมโบร์กินี สีเหลือง รุ่นกันลาโด ยังไม่ได้จดทะเบียน พร้อมเอกสารเกี่ยวกับรถยนต์คันดังกล่าว ให้แก่พวกจำเลย ซึ่งจำเลยที่ 5 มีอาวุธปืนพกสั้นออโตเมติก ขนาด .22 ลองไรเฟิล มีทะเบียน 1 กระบอกและกระสุนปืนลูกกรด ขนาด .22 ลองไรเฟิล 7 นัดโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปที่บริษัท เวิลด์ คลาส ฯ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต เหตุเกิดที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้งห้าแล้ว เห็นว่าก่อนเกิดเหตุนางอัมราภรณ์ มารดาจำเลยที่ 1 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 3 นำเอกสารและสมุดคู่มือประจำรถและกุญแจสำรองของรถยนต์ ลัมโบร์กินี สีเหลืองไปส่งให้บริษัทนิช คาร์ จำกัด ในเครือโจทก์ร่วม หลังจากที่นายพีรพงศ์ ฤทธิเสิศนภา นำรถยนต์ ลัมโบร์กินี สีเหลือง ที่ซื้อจากบริษัท ยูนิตี้ ฯ ของจำเลยที่ 1 ไปแลกเปลี่ยนทำสัญญาเช่าซื้อเป็นรถลัมโบร์กินี สีเทาราคา 25 ล้านบาท กับบริษัท นิช คาร์ ฯ แต่เมื่อบริษัท ยูนิตี้ฯ ของจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้รับค่างวดในการขายรถลัมโบร์กินี สีเหลือง ที่เหลืออีก 6.8 ล้านบาทจากราคา 13.5 ล้านบาท จากนายพีรพงศ์ จึงเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ไปพบนางผ่องศรี ตามวันเวลาเกิดเหตุ เพื่อขอชุดจดทะเบียนรถคืน เนื่องจากข้อตกลงในสัญญาซื้อขายระบุว่าเมื่อนางอัมราภรณ์ ผู้ขายได้รับเงินครบถ้วนตามสัญญาแล้วจะโอนกรรมสิทธิ์รถให้กับนายพีรพงศ์ทันที จำเลยที่ 1 จึงเข้าใจว่าเมื่อนายพีรพงศ์ ยังไม่ชำระเงินที่เหลือรถยนต์จึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท ยูนิตี้ ฯอยู่ ซึ่งกรณีนับว่ามีเหตุอันควรที่จำเลยที่ 1 จะเข้าไปพบนางผ่องศรีเพื่อติดตามทวงถาม
ขณะที่ทางนำสืบนางผ่องศรีกรรมการบริษัทนิชคาร์ฯ ก็เบิกความยืนยันว่ารู้จักกับจำเลยที่ 1 อยู่แล้วเนื่องจากเป็นลูกค้าของบริษัท ดังนั้นจึงชอบที่จำเลยที่ 1 จะถือวิสาสะเข้าไปทวงถามขอเอกสารทะเบียนรถยนต์เพื่อเป็นการรักษาสิทธิและส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทยูนิตี้ฯไม่ได้เป็นการบุกรุกตามที่โจทก์ฟ้อง
ส่วนจำเลยที่ 2-5 นางผ่องศรี พยานโจทก์ไม่ได้ยืนยันรายละเอียดข้อเท็จจริงว่าบุกรุกเข้าไปในที่เกิดเหตุอย่างไร ส่วนที่การตรวจค้นพบอาวุธปืนจากกระเป๋าสะพายของจำเลยที่ 5 ก็ไม่ปรากฏว่ามีจำเลยคนใดนำอาวุธปืนออกมาข่มขู่ให้นางผ่องศรีและนางพิมพ์วรา จนเกิดความกลัวพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้ง 5 ร่วมกันขืนใจนางผ่องศรีให้กระทำการใดโดยทำให้กลัวด้วยอาวุธ
แต่จำเลยที่ 5 มีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯฐานมีและพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จำคุก 14 เดือนและปรับ 6,000 บาท จำเลยที่ 5 ให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 7 เดือน ปรับ 3,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยที่ 5 ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเพื่อให้โอกาสปรับตนเป็นพลเมืองดีโทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 1-4 ให้ยกฟ้อง


