เปิดพื้นที่แก้มลิงรับน้ำ
คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.)
คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.)
กำหนดพื้นที่น้ำนองทำเป็นแก้มลิงเพื่อชะลอน้ำในระยะเร่งด่วนประมาณ 10 พื้นที่ เนื้อที่ร่วม 2 ล้านไร่ และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปดำเนินการคัดเลือกพื้นที่ และพื้นที่ดังกล่าวต้องได้รับการยอมรับจากประชาชนและมีระบบจ่ายเงินชดเชย
พื้นที่รับน้ำระยะเร่งด่วนฝั่งตะวันออกแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น ทุ่งบางกุ้ง ทุ่งวัดอุโลม ทุ่งบางกุ่ม ทุ่งท่าวุ้ง และทุ่งเชียงราก ความจุรวม 170 ล้าน ลบ.ม.
ขณะที่แก้มลิงอ่างทองฝั่งตะวันตก ดอนพุด-มหาราช ป่าโมก-ผักไห่ บางบาล 1 บางบาล 2 ผักไห่-บางยี่หน ทุ่งภูเขาทอง-บางปะหัน และไชโย-บ้านแพรก ความจุรวม 1,738 ล้าน ลบ.ม.
พื้นที่รับน้ำนองที่เตรียมไว้สำหรับเป็นแก้มลิง 2 ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่น้ำนองตอนบนของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ จ.นครสวรรค์ ขึ้นไปทางเหนือ 5 พื้นที่ คือ บึงบอระเพ็ด-ชุมแสง ชุมแสง-เก้าเลี้ยว-อ.เมืองนครสวรรค์ ตะพานหิน-บางมูลนาก-โพทะเล อ.เมือง พิจิตร-อ.โพธิ์ประทับช้าง และ อ.บางกระทุ่ม
ส่วนพื้นที่รับน้ำนองตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วง จ.ชัยนาท และอ่างทอง ในเบื้องต้นกำหนดไว้ 8 พื้นที่ โดยพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่รับน้ำนองที่อยู่ในแผนรับน้ำนองและทำแก้มลิงระยะเร่งด่วน และขณะนี้ยังไม่ได้สรุปเช่นกันว่าจะเป็นพื้นที่ใดบ้าง
ทั้งนี้ คณะกรรมการเสนอแนะว่า รัฐบาลต้องเจรจากับประชาชนในพื้นที่รับน้ำ และอาจต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการจัดสรรพื้นที่รับน้ำด้วย แม้จะเป็นจำนวนมากก็ต้องยอม ไม่เช่นนั้นจะเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง
เชตวัน อนันตสมบูรณ์ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง (ยผ.) ด้านผังเมือง เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายละเอียดเรื่องการจัดหาพื้นที่รับน้ำ (ฟลัดเวย์) ตามที่ กยน. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้จัดทำแผนฟลัดเวย์ แต่ที่ ยผ.ได้เสนอของบประมาณเพื่อรออนุมัติจาก กยน.นั้น เป็นแผนการปรับปรุงระบบผังเมืองทั้งหมดใน 13 จังหวัด ทั้งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและลุ่มแม่น้ำท่าจีน โดยใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 300 วัน ใน 2 กรอบใหญ่ ก็คือ 1.ทำผังลุ่มน้ำและทางไหลของน้ำ และ 2.แผนป้องกันชุมชน โดยจะมีรายละเอียดครอบคลุมตั้งแต่พื้นที่ชุมชน พื้นที่รับน้ำระดับสูงต่ำ และเจรจากับผู้นำชุมชน เพื่อหารือถึงพื้นที่ที่สามารถขยายออกไปได้
ขณะนี้ได้ตรวจระดับความลาดชันทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงรองบประมาณให้ กยน. อนุมัติมาเท่านั้น
เชตวัน กล่าวว่า การจัดทำผังเมืองทั้งหมดคงไม่สามารถจัดทำได้ทันฤดูฝนที่จะถึงนี้ แต่น่าจะเป็นการจัดทำในระยะยาว ซึ่งอาจใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี เนื่องจากพื้นที่ทั้งหมดกว้างขวางครอบคลุมกว่า 13 จังหวัด และไม่สามารถมองเฉพาะทุ่งรับน้ำ แต่ต้องมองไปถึงการขยายตัวของชุมชนขนาดเล็ก ชุมชนเมือง รวมไปถึงการประกอบอาชีพของเกษตรกรในบริเวณต่างๆ ด้วย ซึ่งได้วิเคราะห์พื้นที่ทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงรอให้ กยน.อนุมัติงบประมาณลงมาก็สามารถปฏิบัติการได้ทันที
ขวัญเรือน ผ่องวิทย์ ซึ่งเช่าที่ดินทำนาเกือบ 100 ไร่ ในเขตหมู่ 4 ต.โคกช้าง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า น้ำที่ไหลเข้าท่วมทุ่งนาตั้งแต่เดือน ก.ย. 2554 จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่แห้ง ต้องสูบน้ำออก จ่ายค่าน้ำมันเครื่องสูบน้ำไปแล้วกว่า 5,000 บาท ทั้งๆ ที่พื้นที่จังหวัดอื่นเริ่มทำนาปรังกันไปกว่า 1 เดือนแล้ว
“หากเอาพื้นที่ไปรับน้ำและน้ำจะท่วมสูงกว่าและนานกว่านี้ก็คงต้องเลิกทำนาเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาก็ทำได้แค่ปีละครั้ง” ขวัญเรือน กล่าว
สังเวียน ผ่องวิทย์ ชาวนาอีกรายหนึ่งตั้งคำถามว่า รัฐบาลถามคนพระนครศรีอยุธยาหรือยังว่าพร้อมจะเสียสละแทนคนกรุงเทพฯ หรือไม่ แต่หากรัฐบาลจะใช้อำนาจก็ต้องมีการช่วยเหลือชดเชยมากกว่าพื้นที่อื่น
“เราลงทุนทำนาไร่ละ 6,500 บาท แต่พอเอาน้ำเข้ามาเก็บที่เราจ่ายค่าชดเชยเพียงไร่ละ 2,222 บาท อีกทั้งที่ดินทำนาส่วนใหญ่ก็เป็นที่เช่าจากนายทุน ค่าชดเชยนายทุนก็รับไป หากจะทำเป็นแก้มลิงแบบชัดเจนคงสร้างปัญหาให้คนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นกว่านี้ และต่อไปชาวนาก็จะเลิกทำนา” สังเวียน กล่าว
ด้านนายวิเชียร พวงลำเจียก ประธานกลุ่มเกษตรกรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า รัฐบาลจะต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับชาวนาที่ต้องเสียสละที่นาเป็นพื้นที่รับน้ำไร่ละ 7 พันบาท ที่ผ่านมาชาวนาพระนครศรีอยุธยาต้องแบกรับภาระมานานมากพอแล้ว ทุกปีก็มีการผันน้ำเข้าไปเก็บไว้ในทุ่งบางบาล บางปะหัน มหาราช เสนา ลาดบัวหลวง และผักไห่ โดยจ่ายค่าชดเชยไร่ละกว่า 2,222 บาท ซึ่งถือว่าไม่คุ้ม
นายขวัญชัย มหาชื่นใจ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสามตุ่ม อ.เสนา กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยหากใช้พื้นที่ อ.เสนา โดยเฉพาะทุ่งเจ้าเจ็ดเป็นพื้นที่รับน้ำ แต่หากจะทำเป็นทุ่งรับน้ำก็ต้องมายกระดับถนนโครงข่ายในชุมขนให้เข้าออกได้ ไม่ใช่แปลงนาก็ถูกท่วมและถนนก็ถูกท่วมเดือนร้อน คนนาคมไม่ได้หาของกินไม่ได้


