เศรษฐศาสตร์กับ 'โอวาทปาติโมกข์'
....พิริยะ ผลพิรุฬห์
“
วันมาฆบูชา” ได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อกว่า 2,500 ปี โดยเป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ 1) พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 รูปนั้นได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย 2) พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง 3) พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6 และ 4) วันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า “วันจาตุรงคสันนิบาต”นอกจากนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงได้แสดง
“โอวาทปาติโมกข์” อันเป็นหลักคำสอนสำคัญที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา โดยคาถาบทที่สองของโอวาทปาติโมกข์นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งที่แก่พุทธศาสนิกชนในการท่องจำและนำไปปฏิบัติ ได้แก่ “การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญแต่ความดี และการทำจิตของตนให้ผ่องใสเป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวง” บทคำสอนนี้เน้นสอนพุทธบริษัทให้รู้จัก “ความพอเพียง” ของการดำเนินชีวิตในทางสายกลางโดยไม่สร้างภาระให้กับตัวเองและสังคมโดยรวมแต่เนื่องจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันอันเป็นโลกแห่งการแข่งขัน ทั้งจากทางด้านการบริโภค (บริโภคนิยม) การแข่งขันทางการค้า (ทุนนิยม) และการแข่งกันครอบครอง (อำนาจนิยม) จึงส่งผลทำให้การดำเนินชีวิตของพุทธศาสนิกชนต้องประสบกับความเสี่ยงที่จะละเลยคำสอนดังกล่าวได้โดยง่าย อันเป็นการส่งเสริมความ
“อยากได้” “อยากมี” และ “อยากเป็น” แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์กระแสหลักได้อธิบายว่า ถ้าคนเรามีความต้องการที่จะอยากได้ อยากมี หรืออยากเป็นมากขึ้น เขาเหล่านั้นจะสามารถตอบสนองความต้องการได้ง่ายๆ จากการพยายามเพิ่มทรัพยากรที่ (แต่ละคน) มีอยู่อย่างจำกัด และอาจทำให้เกิดความต้องการที่ไร้ขอบเขต ทำให้คนบูชาเงิน วัตถุ และชื่อเสียง และนำมาสู่การแย่งชิงทรัพยากรและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากจนละเลยจรรยาบรรณและศีลธรรม (อย่างที่เรารู้กันดีว่า “โลกนี้ไม่มีอะไรหรอกที่เป็นของฟรี” (No Free Lunch)) การได้มาซึ่งทรัพยากรนั้นก็ไม่ต่างไปจากการทำสงครามที่ไม่เพียงแต่จะสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้กับตนเองแล้ว ยังเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นๆ ในสังคมปรากฏการณ์การแย่งชิงทรัพยากรนี้มีหลักฐานเกิดขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์เกือบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่มักเกิดขึ้นจากความโลภในการเข้าไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยง
ปัญหาทางด้านการเมืองจากนักการเมืองและกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง (เช่น ผู้ประท้วง) ที่เห็นชอบในสิ่งที่ตัวเองทำมากกว่าสังคมโดยรวม ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่โรงงานอุตสาหกรรมอยากที่แต่จะผลิตแล้วขายโดยไม่ใส่ใจกับมลภาวะที่ปล่อยออกมา ปัญหาการล้มละลายของบริษัทที่ไม่รู้จักความพอประมาณของการลงทุน ปัญหาการทะเลาะวิวาทและการทำร้ายร่างกายของกลุ่มวัยรุ่น และปัญหาความแตกแยกของครอบครัว พ่อแม่มัวแต่ทำงานหาเงินจนไม่มีเวลาให้กับลูก เป็นต้น
จากที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทุกอย่างในโลกต่างก็ล้วนมาจากการ
“มีกิเลส” จากความอยากได้ อยากมี และอยากเป็นของตัวเองที่เกินกว่าความพอดีทั้งสิ้น แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่มุ่งแก้ปัญหาการจัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพเพื่อมุ่งแสวงหาความพึงพอใจสูงสุด (Maximize Utility) นั้นจึงอาจไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง เพราะเราไม่สามารถกำหนดได้เลยว่า “ความพึงพอใจสูงสุดนั้นอยู่ที่ตรงไหน” เพราะคนเรายิ่งมีมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งอยากได้มากขึ้นเท่านั้น ดังรูปข้างล่างที่ “ความอยาก” มักมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างไร้ซึ่งทิศทาง และแน่นอนว่า ความต้องการทรัพยากรก็ต้องเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความอยากดังกล่าวเศรษฐศาสตร์แนวพุทธ (Buddhist Economics) ได้เสนอแนวความคิดถึงการให้ตระหนักถึง
“ความจำกัด” ของกิเลส หรือการสร้าง “ความพอเพียง” ของจิตใจ ซึ่งน่าจะเป็นหนทางแก้ไขที่ดีที่สุด แต่เนื่องจากมนุษย์ทุกคนย่อมมีกิเลสหรือความต้องการอยู่เป็นนิจ การตามความความคิดและความอยากของจิตใจให้ทันนั้นจึงเป็นเรื่องยากและเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างที่สุดในการใช้ปัญหาและสติดำเนินชีวิต ในความเป็นจริงแล้ว เป็นสิ่งที่ยากมากที่จะบอกว่า “กรอบความพอเพียง” นั้นควรที่จะอยู่ในระดับไหน และทำอย่างไรที่จะไม่ให้กิเลสหลุดออกไปนอกกรอบของความพอเพียงนี้ ยกตัวอย่างเช่น มีเงินเท่าไรถึงเรียกว่าพอ ลงทุนหรือมีหนี้เท่าไรถึงเรียกว่าเหมาะสม หรือมีรถกี่คันหรือนาฬิกากี่เรือนถึงเหมาะสม เป็นต้นในปัจจุบันยังไม่มีทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ใดที่สามารถวัดตัวแปรทางเศรษฐศาสตร์แนวพุทธได้ เนื่องจากเศรษฐศาสตร์แนวพุทธยังไม่สามารถใช้วิธีวิทยาทางวิทยาศาสตร์ศึกษามาอธิบายได้ทั้งหมด หรือยังไม่สามารถสร้างสมการ/แบบจำลองโดยใช้ความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์มาศึกษาได้อย่างเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ยกตัวอย่างเช่น ระดับปัญญา ระดับความสุข และระดับพอเพียงจะสามารถ วัดในเชิงปริมาณได้อย่างไร ซึ่งในส่วนนี้เป็นประเด็นท้าทายของแวดวงวิชาการทางเศรษฐศาสตร์และสังคมที่จะต้องพัฒนางานวิจัยในด้านนี้ให้มากขึ้น
ถึงแม้ว่า คำสอนโอวาทปาติโมกข์จะเกิดขึ้นมาแล้วในวันมาฆบูชานี้แล้วกว่า 2,500 ปี และเป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนทุกคนรับทราบที่จะนำมาปฏิบัติก็ตาม
แต่สิ่งที่ท้าทายกว่าก็คือ เราจะสามารถสร้างกรอบของความพอเพียงที่เหมาะสมในแต่ละบุคคลได้อย่างไร เนื่องจากแต่ละคนมักจะมีกรอบของความพอเพียงที่แตกต่างกัน การจำกัดความอยากเป็นกุญแจสำคัญที่นำมาสู่ซึ่งความสุขที่แท้จริง และถ้าสามารถทำได้ เราจะทราบว่าการเข้าหาความสุขที่แท้จริงนั้นมันช่างมี
“ต้นทุนที่ต่ำเหลือเกิน” เพราะเราอาจไม่ต้องเสียเงินเลยแม้แต่บาทเดียว

