ข้อกล่าวหา หมิ่นสถาบันหรือหมิ่นเบื้องสูง (กฏหมายอาญา ม.112)
ระยะนี้ผู้คนในสังคมไทยมักจะจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่มีบุคคล หรือคณะบุคคลเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 &
ระยะนี้ผู้คนในสังคมไทยมักจะจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่มีบุคคล หรือคณะบุคคลเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 &<2288;
โดย...สมลักษณ์ จัดกระบวนพล
อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาและ
กรรมการ ป.ป.ช.
อาจารย์พิเศษ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ระยะนี้ผู้คนในสังคมไทยมักจะจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่มีบุคคล หรือคณะบุคคลเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 หัวข้อข่าวในหนังสือพิมพ์ก็มีการเขียนถึงเรื่องนี้กันเกือบจะทุกฉบับ มีบุคคลบางกลุ่มถึงกับกล่าวหาว่า กลุ่มบุคคลที่เสนอความเห็นให้แก้มาตรานี้ว่า “ขาดความจงรักภักดี” บางทีก็มีการกล่าวไล่บุคคลที่เสนอเช่นนี้ให้ไปอาศัยอยู่ต่างประเทศ ผู้เขียนจึงอดไม่ได้ที่จะสอบถามผู้กล่าวหากันในเรื่องนี้ว่า เขาเข้าใจกฎหมายมาตรา 112 เพียงใด และผู้เสนอแก้ไขเขาจะแก้ไขอย่างไรบ้าง จึงได้ทราบว่ามีคนจำนวนมากไม่ทราบเนื้อหาของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และไม่ทราบว่าแก้ไขแล้วจะเป็นอย่างไร และจะเกิดผลเสีย ผลดีอย่างไร เพียงแต่ฟังเขากล่าวหาว่าคนที่เสนอขอแก้ไขมาตรา 112 คือคนที่ไม่จงรักภักดีก็เชื่อไปตามนั้น ดังนั้นก่อนที่จะมีการกล่าวหากันต่อไป จำเป็นต้องศึกษาเรื่องก่อนว่ากฎหมายมาตรานี้ มีเนื้อหาอย่างไร และผู้ขอแก้ไขเขาจะขอแก้ไขให้เป็นอย่างไร เมื่อทราบรายละเอียดแล้ว จึงค่อยมาคิดใคร่ครวญให้รอบคอบด้วยมันสมองของตนเอง ว่าควรเห็นด้วยกับผู้ขอแก้ไขหรือคัดค้านความคิดเห็นดังกล่าว จึงขอทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ดังนี้
ประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะที่ 1 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และหมวด 1 ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มาตรา 112 บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงห้าปี”
องค์ประกอบความผิดต้องประกอบด้วย
1.หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย
2.พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
3.มีเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง
ความหมายขององค์ประกอบทั้งสาม
1.หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย
หมิ่นประมาท คือ ใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง คือเป็นการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 นั่นเอง
ดูหมิ่น ได้แก่การกระทำความผิดตามประมวลอาญากฎหมายอาญามาตรา 136 ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ โดยไม่จำต้องเกี่ยวกับหน้าที่ราชการแต่อย่างใด หรือตามประมวลอาญากฎหมายอาญา มาตรา 393 คือ ดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า หรือด้วยการโฆษณา
แสดงความอาฆาตมาดร้าย ได้แก่ การแสดงออกด้วยกิริยาหรือวาจาด้วยความพยาบาทมาดร้ายว่าจะทำให้เสียหายในทางใดๆ อันมิใช่เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย การกล่าวว่า จะใช้สิทธิฟ้องคดีที่ศาล เช่นนี้เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย
2.พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ความผิดตามมาตรา 112 นี้ เป็นความผิดพิเศษ เพื่อถวายความเคารพสักการะความจงรักภักดี และความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระมหากษัตริย์ รวมทั้งพระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จึงจะนำบทบัญญัติของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 มาตรา 330 และมาตรา 331 มาใช้กับความผิดมาตรา 112 ไม่ได้ เพราะมาตราทั้งสามดังกล่าวเป็นบทบัญญัติไว้สำหรับบุคคลธรรมดาสามัญที่ถูกหมิ่นประมาทเท่านั้น ความเป็นพิเศษของบทบัญญัติมาตรา 112 อาจต้องทำความเข้าใจถึงข้อต่อไปนี้
2.1 ต้องตีความโดยเคร่งครัด ว่าให้ใช้ได้เฉพาะพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เท่านั้น ส่วนการกระทำต่อบุคคลอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ชัดแจ้ง ผู้กระทำต้องมีความผิดตามกฎหมายที่ใช้สำหรับบุคคลทั่วๆ ไป คือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ซึ่งมีโทษจำคุกเพียงไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท และอยู่ในประมวลกฎหมายอาญาหมวดที่ 3 กล่าวให้ชัดคือถือว่าไม่ใช่ดูหมิ่นสถาบันตามมาตรา 112
2.2 ถ้าไม่ใช่บุคคลที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 112 อย่างชัดแจ้ง ผู้กระทำความผิดอาจนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 330 331 มาใช้ต่อสู้คดีได้ เช่น ผู้กระทำความผิดอาจพิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ยกเว้น ข้อที่หาว่าหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน เช่น ครูใหญ่โรงเรียน กล่าวว่า นายอำเภอไม่เป็นประชาธิปไตย โดยบังคับให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเลือกตั้งคนที่นายอำเภอชอบ ถ้าใครไม่เลือกก็ไม่ขอเงินเดือนขึ้นให้นั้น ถ้าเป็นความจริงก็ถือได้ว่าเป็นประโยชน์แก่สาธารณชน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1551/2503) อาจทำความเข้าใจง่ายๆ ก็คือ ถ้าผู้กระทำความผิดต่อบุคคลตามมาตรา 112 ไม่อาจจะยกมาตรา 329มาตรา 330 และมาตรา 331 ขึ้นมากล่าวอ้างเพื่อให้ไม่ต้องรับความผิด หรือเพื่อให้ได้รับการยกเว้นโทษได้ ส่วนบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บุคคลตามมาตรา 112 ผู้กระทำความผิดอาจยกกฎหมายมาตราทั้งสามขึ้นต่อสู้ได้
3.มีเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสองอันได้แก่
3.1 กระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น หรือ
3.2 กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
นอกจากนั้น ยังมีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 133 บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐ ต่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” และมาตรา 134 บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ถ้าจะถามว่า บุคคลอื่นบอกจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าถูกกล่าวหาทำให้เสียชื่อเสียงจะมีสิทธิป้องกันชื่อเสียงเกียรติยศตนเองได้หรือไม่ ก็ตอบว่าได้ แต่ต้องไปกล่าวหากันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ซึ่งเป็นบททั่วไปสำหรับคุ้มครองบุคคลธรรมดา และผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยมีสิทธิจะใช้บทบัญญัติของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 มาตรา 330 และมาตรา 331 มาต่อสู้ได้ ความเข้าใจตัวบทกฎหมายในเรื่องนี้นับว่ามีประโยชน์ต่อประเทศชาติของเราในปัจจุบันนี้ เพราะการเมืองแตกแยกเป็นสองขั้ว และแต่ละขั้วก็มักจะกล่าวอ้างว่าฝ่ายตรงข้ามหมิ่นสถาบันหรือหมิ่นเบื้องสูง เพราะผู้กล่าวหาทราบดีว่า ถ้าคิดข้อกล่าวหาอะไรเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ก็กล่าวหาในเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้กล่าวหามากที่สุด เพราะจะทำให้ผู้ถูกกล่าวหาถูกโกรธแค้นชิงชัง เราจึงได้ยินคำพูดออกมาจากปากของผู้คนในสังคมอยู่เนืองๆ บางทีก็เลยเถิดไปถึงว่าผู้ใดมีความคิดเห็นตรงข้ามกับตนก็ถือว่าไม่จงรักภักดี ความจริงผู้กล่าวหาบุคคลอื่นในข้อหานี้อาจจะไม่รู้ตัวเองว่า ตนเองหรือกลุ่มของตนนั้นเองที่ขาดความจงรักภักดี เพราะอาจแปลเจตนาได้เลยว่านำข้อกล่าวหานี้มาเป็นประโยชน์ของตนหรือกลุ่มของตน เพราะการกล่าวหาเช่นนี้ ถือได้ว่าประสงค์จะให้สังคมเข้ามาเป็นพวกตนและให้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามชั่วร้าย อันความจงรักภักดีนั้นเป็นเรื่องภายในจิตใจของบุคคลยากที่ผู้อื่นจะล่วงรู้ได้ เว้นแต่จะอนุมานจากเรื่องที่บุคคลผู้นั้นทำ หรือคำที่บุคคลผู้นั้นพูด ถ้ากล่าวหาบุคคลอื่นบ่อยๆ หรือพูดพร่ำเพรื่อพูดโดยไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน หากแต่เป็นการข่มผู้อื่นว่าไม่มี ผู้ใดจงรักภักดีเท่าตนหรือกลุ่มของตน น่าจะถือได้ว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนั้นขาดความจงรักภักดี ดังนั้นผลเสียหายที่จะเกิดแก่ทั้งผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาอาจสรุปได้ดังนี้
ผลเสียหายแก่ผู้กล่าวหา
1.ขาดความจงรักภักดีอย่างจริงใจ เพราะได้นำสถาบันอันเป็นที่เคารพสักการะมาเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์มาสู่ผู้กล่าวหากับพวก
2.หากผู้กล่าวหาเกี่ยวพันอยู่ในสถาบันการเมือง และกล่าวหาผู้อยู่ในสถาบันเดียวกันในข้อกล่าวหานี้ ยิ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง เพราะสถาบันเบื้องสูงไม่อาจเกี่ยวข้องกับการเมืองไม่ว่าในทางใดๆ การนำข้อกล่าวหานี้มากล่าวหาฝ่ายตรงข้ามแสดงว่าประสงค์จะดึงสถาบันเบื้องสูงมามัวหมองกับการเมือง
3.เป็นการเอาเปรียบผู้ถูกกล่าวหาโดยวิถีทางที่น่าอัปยศและไม่ชอบธรรม เพราะผู้ถูกกล่าวหาไม่อาจจะนำกฎหมายในกรณีนี้ซึ่งอาจใช้ต่อสู้กับผู้กล่าวหา ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดามาต่อสู้ได้ (เอาเปรียบในเชิงคดี)
4.หากสังคมพิจารณาอย่างลึกซึ้ง และทราบเจตนามาลึกๆ ของผู้กล่าวหาว่าเป็นการกลั่นแกล้งทำลายกัน จะไม่ให้ความเชื่อถือผู้กล่าวหาอีกต่อไป
ผลเสียหายแก่ผู้ถูกกล่าวหา
1.ถูกสังคมดูหมิ่น เกลียดชัง และมีผลถึงครอบครัวและสังคมรอบๆ ตัวผู้ถูกกล่าวหาด้วย
2.ถ้าผู้ถูกกล่าวหาเป็นนักการเมือง อนาคตทางการเมืองดับไป (เคยมีตัวอย่างมาแล้ว)
3.เป็นความเจ็บปวดแก่ผู้ถูกกล่าวหา ยิ่งถ้าเป็นการใส่ร้ายกัน โดยไม่เป็นความจริงแล้ว ก็ยิ่งเกิดการแตกแยกจนยากที่จะสมานรอยร้าว
4.ไม่สามารถนำข้อต่อสู้ทางกฎหมายที่ใช้กับบุคคลธรรมดามาต่อสู้ได้ (กฎหมายปิดปาก)
5.เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาด หากผู้ถูกกล่าวหากระทำการดังกล่าวจริง สมควรปรับแนวความคิดใหม่ เพราะต้องเป็นที่เข้าใจว่าคนไทยไม่ยอมรับแนวความคิดนี้อย่างแน่นอน และไม่เป็นผลดีแก่ผู้ถูกกล่าวหาในทุกๆ ด้าน
การกล่าวหากันในข้อหาดังกล่าว นอกจากจะทำความเสียหายแก่ทั้งผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาแล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายอันใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติ หากยังให้มีการกล่าวหากันต่อไปอีก แสดงว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีความจริงใจในการที่จะรักษาเทิดทูนสถาบันอันเป็นหลักของประเทศ และทั้งสองฝ่ายไม่มีความจริงใจในการแสวงหาแนวทางอยู่ร่วมกันโดยสันติ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความปรองดองของคนในชาติจะเกิดขึ้นได้อย่างไร


