posttoday

เส้นทางสู่ความหายนะ

19 มกราคม 2555

ก่อนหน้านี้ไม่ว่าการเมืองในบ้านเราจะขัดแย้งกันมากแค่ไหน หรือรุนแรงจนถึงขั้นเลือดตกยางออก

ก่อนหน้านี้ไม่ว่าการเมืองในบ้านเราจะขัดแย้งกันมากแค่ไหน หรือรุนแรงจนถึงขั้นเลือดตกยางออก

โดย..อรุณ จิรชวาลา 

ผมก็ยังรู้สึกว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับเรื่องผลกระทบที่อาจเกิดกับเศรษฐกิจ และพยายามรักษาภาพลักษณ์ว่าเรื่องที่เกิดเป็นเรื่องชั่วคราว ไม่มีใครประสงค์ให้ประเทศชาติกลายเป็นสมรภูมิรบถาวร

แต่ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้ขึ้นมาบริหารประเทศ ผมก็สังเกตเห็นพฤติกรรมหลายอย่างที่ทำให้อดรู้สึกไม่ได้ว่า รัฐบาลไม่ได้ใส่ใจว่าอนาคตของประเทศจะเป็นอย่างไร ขอเพียงให้ได้อยู่ในอำนาจนานๆ

เริ่มตั้งแต่นโยบายปรับขึ้นค่าจ้างและเงินเดือนขั้นต่ำแบบก้าวกระโดด บอกได้เลยว่าวิธีการแบบนี้ไม่สอดคล้องกับหลักการในการวางแผนระยะยาว แต่ผมก็ทำใจยอมรับและขอยกประโยชน์ให้จำเลย เพราะไหนๆ เขาก็หาเสียงไว้อย่างนั้น ประกอบกับมันก็ไม่ถึงกับทำให้ต้นทุนในบ้านเราสูงกว่าประเทศคู่แข่งในระดับใกล้เคียงกันมากนัก

ต่อมาก็มีเรื่องนิรโทษกรรมและเรื่องพาสปอร์ต ซึ่งผมก็พยายามเข้าใจคนทำ เพราะเป็นการรับใช้และตอบแทนผู้มีพระคุณโดยตรง ประกอบกับในกรณีนิรโทษกรรม ก็มีการยอมถอยเมื่อมีสัญญาณว่าจะไม่ได้รับการยอมรับทั้งจากในและต่างประเทศ

แต่มีอีก 2 เรื่องใหญ่ๆ ที่รัฐบาลไม่ยอมถอย ทั้งๆ ที่มีเสียงทักท้วงอย่างกว้างขวางให้ระมัดระวังผลเสียที่จะเกิดกับประเทศชาติในระยะยาว

เรื่องแรก คือ เรื่องโอนหนี้ 1.14 ล้านล้านบาท ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. และบังคับในทางอ้อมให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากขึ้นเบี้ยประกันเพื่อให้ ธปท.นำไปจ่ายดอกเบี้ย

เฉพาะเรื่องนี้ขัดกับหลักการและเป็นผลเสียในระยะยาวถึง 3 ประการ ดังนี้

หนึ่ง เป็นการโอนภาระหนี้ภาครัฐออกนอกระบบงบประมาณครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยนำไปหมกไว้ในงบดุลของ ธปท. ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงก็ยังยอมตายคาตำแหน่ง แต่ไม่ยอมทำ ต้องใช้มือปืนรับจ้างเป็นหน่วยกล้าตายข้ามห้วยมาจากที่อื่น

สอง เป็นการใช้สถาบันคุ้มครองเงินฝาก รวมทั้งเบี้ยประกันที่ธนาคารพาณิชย์นำส่งแบบผิดวัตถุประสงค์ และหนีไม่พ้นเป็นการรีดภาษีในอัตราสูงจากระบบการออมและจากผู้ออม

สาม เป็นการเลี่ยงเจตนารมณ์ของกฎหมายเกี่ยวกับกรอบวินัยการคลัง ซึ่งประเทศเราถือปฏิบัติมาช้านานและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง

มีคนบอกว่า หากกลุ่มการเมืองกลุ่มนี้ยังอยู่ในอำนาจต่อไป นอกจากจะพยายามแทรกแซงกองทัพแล้ว ธปท.เป็นอีกสถาบันหนึ่งที่จะต้องยึดครองให้ได้ เพราะมีบทเรียนจากความผิดพลาดในอดีตที่ยังยึดไม่สำเร็จก็ถูกล้มล้างเสียก่อน

การพยายามอยู่ในอำนาจด้วยการยึดกองทัพและธนาคารกลางไม่ใช่ของใหม่ แต่มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วที่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเผด็จการพลเรือนของ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส สามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ได้นานถึง 20 ปี และสามารถสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองและพวกพ้องจำนวนมหาศาล จนมีคนยกให้มาร์กอสเป็นมหาโจรอันดับหนึ่งของโลก

ท่านที่เป็นห่วงเป็นใยอนาคตของประเทศชาติ ลองไปศึกษาประวัติศาสตร์ของธนาคารกลางของฟิลิปปินส์ดูได้นะครับ

เรื่องที่สอง คือ เรื่องเยียวยากลุ่มผู้ประท้วงทางการเมืองศพละ 7.75 ล้านบาท

ในส่วนที่เกี่ยวกับภาระทางงบประมาณ เบื้องต้นอาจมองกันเพียงผิวเผินว่าใช้เงินไม่ถึงหลักพันล้านบาท แต่ผมเชื่อว่าในที่สุดจะบานปลายกลายเป็นหลักหมื่นล้านบาท เพราะจะต้องมีกลุ่มก้อนอื่นๆ อีกมากมายที่จะเรียกร้องขอให้ได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน รวมทั้งกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐที่บาดเจ็บและเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่

มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างหนึ่ง คือ สำหรับคนไทยจำนวนมาก ทำงานทั้งชีวิตก็มีรายได้รวมกันทั้งหมดไม่เท่าเงินก้อนนี้ กล่าวคือ สมมติได้ค่าจ้างวันละ 300 บาท ทำงานปีละ 300 วัน ก็จะมีรายได้ปีละ 9 หมื่นบาท ต้องทำงานกว่า 80 ปี จึงจะมีรายได้รวมถึง 7.75 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายและค่ากินอยู่นะครับ

ผมเชื่อโดยไม่สงสัยว่า เงินจำนวนนี้คงช่วยเยียวยาครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้ไม่มากก็น้อย แต่ที่เป็นห่วงแทนสังคมและประเทศชาติ คือ อีกด้านหนึ่งมันอาจจุดประกายความอยากชุมนุมประท้วงทางการเมืองในหมู่คนที่อาจไม่เคยคิดอยากประท้วงมาก่อน

ชีวิตนี้หากไม่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง หรือไม่ได้เป็นผู้บริหารระดับสูงของธุรกิจขนาดใหญ่ โอกาสที่จะเก็บออมได้ถึง 7.75 ล้านบาท แทบจะมองไม่เห็น อาจเป็นโอกาสเดียวสำหรับคนจำนวนมากที่ลูกๆ จะตอบแทนคุณพ่อแม่ หรือพ่อแม่จะยอมเสียสละเพื่ออนาคตของลูกหลาน ด้วยการออกมาชุมนุมประท้วง รวมทั้งยุยงหรือจุดประกายความรุนแรง

ต่อไปไม่ว่ามีเรื่องอะไรขัดอกขัดใจเพียงเล็กน้อย ก็อาจชักชวนกันรวมตัวออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาล เพื่อให้เข้าข่ายเป็นการชุมนุมประท้วงทางการเมือง

ลองนึกภาพ เศรษฐกิจและสังคมของประเทศจะตกอยู่ในสภาพอย่างไร หากนโยบายของรัฐมีส่วนส่งเสริมให้เกิดการประท้วงและก่อความรุนแรงทางการเมืองเพื่อแลกกับผลประโยชน์

แม้แต่รัฐบาลนี้เองที่เป็นต้นคิด ผมก็ไม่แน่ใจว่านโยบายเยียวยาในที่สุดจะกลายเป็น “ดาบนี้คืนสนอง” หรือไม่ เพราะหลายอย่างที่รัฐบาลทำกำลังมีส่วนในการกระพือกระแสความขัดแย้งให้รุนแรงยิ่งขึ้น

ผลประโยชน์จากนโยบายเยียวยาของรัฐบาลเองอาจกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีให้มีประชาชนลุกฮือขึ้นมาขับไล่รัฐบาลในอนาคต

ถึงรัฐบาลนี้จะหาวิธีหลีกเลี่ยงไม่ยอมจ่ายให้กับผู้ที่ต่อต้านตนเอง แต่ก็อาจเป็นหนี้ที่รัฐบาลหน้ายินดีจ่ายให้แทน

ก่อนจบขอยกคำกล่าวของใครผมก็จำไม่ได้ที่บอกว่า บ้านเมืองไหนมีผู้บริหารที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี แต่ก็ยังสามารถอยู่ในอำนาจได้ อนาคตของบ้านเมืองนั้นหนีไม่พ้นความอ่อนแอ ความล้มเหลว และความหายนะในที่สุด  

 

ข่าวล่าสุด

"ซีอีโอศุภชัย" นำซีพีอาสาหนุนอุปกรณ์แพทย์ 10 ล้าน ช่วยชายแดน