posttoday

พลังงานนิวเคลียร์เข้ายุคขาลงโลกตะลึงบทเรียนราคาแพง ฟูกุชิมา

29 ธันวาคม 2554

โลกในศตวรรษที่ 21 เคยเป็นยุคของพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ทั่วโลกต่างอ้าแขนรับอย่างเต็มใจ

โลกในศตวรรษที่ 21 เคยเป็นยุคของพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ทั่วโลกต่างอ้าแขนรับอย่างเต็มใจ

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ

โลกในศตวรรษที่ 21 เคยเป็นยุคของพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ทั่วโลกต่างอ้าแขนรับอย่างเต็มใจ เพื่อเดินหน้าอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศมากเท่ากับพลังงานยุคเก่าอย่างถ่านหิน ซึ่งกำลังเป็นข้อจำกัดในยุครักษ์สิ่งแวดล้อม

ทว่า ยุคของพลังงานนิวเคลียร์ที่เป็นเหมือนความหวังใหม่ทางด้านพลังงานกลับต้องสะดุดลง พร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังวันที่ 11 มี.ค. 2554 หรือวันที่ญี่ปุ่นเผชิญภัยพิบัติใหญ่ 3 ครั้งซ้อน ทั้งแผ่นดินไหว สึนามิ และการรั่วไหลของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมา ไดอิชิ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่วิกฤตการณ์นิวเคลียร์ของญี่ปุ่นเพียงฝ่ายเดียว

อุบัติเหตุครั้งนี้ คือ “จุดเปลี่ยน” วิกฤตการณ์ของอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ทั้งโลกให้เข้าสู่ยุค “ขาลง” ไปด้วย

กำแพงคลื่นน้ำยักษ์ความสูง 14 เมตร จากแผ่นดินไหวใต้ทะเลขนาด 9 ริกเตอร์ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1.5 หมื่นคน ได้พังถล่มแนวป้องกันชายฝั่งและเข้าท่วมระบบหล่อเย็นฉุกเฉินของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมา แม้คนงานและบรรดาเจ้าหน้าที่เทคนิคจะทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งวันทั้งคืน และยังเสี่ยงต่อสารกัมมันตรังสีที่รั่วไหลเพื่อกู้เตาปฏิกรณ์ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ จนท้ายที่สุดก็เกิดการระเบิดของไฮโดรเจนไปทั่วทั้งโรงงาน และนำไปสู่การรั่วไหลครั้งใหญ่ของสารกัมมันตรังสีในชั้นบรรยากาศ

พลังงานนิวเคลียร์เข้ายุคขาลงโลกตะลึงบทเรียนราคาแพง ฟูกุชิมา

สถานการณ์ในขณะนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวายและตื่นตระหนก เบื้องต้นรัฐบาลญี่ปุ่นต้องอพยพประชาชนนับหมื่นคนในรัศมี 20 กิโลเมตร จากโรงไฟฟ้าไปยังพื้นที่ปลอดภัย ก่อนที่ในภายหลังจะต้องอพยพประชาชนทั้งหมดในเขตฟูกุชิมา รวมแล้วถึงราว 1.5 แสนคน

เอเอฟพี ระบุว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ คืออุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ครั้งร้ายแรงที่สุดอันดับ 3 นับตั้งแต่วิกฤตการณ์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทรี ไมล์ไอส์แลนด์ (Three Mile Island) ในสหรัฐ เมื่อปี 1979 และอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล ในรัสเซีย ระเบิดครั้งใหญ่เมื่อ 25 ปีก่อน ทำให้โลกต้องพบกับพื้นที่รกร้าง No man’s land แห่งใหม่ และหันมาทบทวนนโยบายพลังงานนิวเคลียร์กันอย่างจริงจัง

ในยุคที่การสื่อสารไร้พรมแดนและคนทั่วทั้งโลกต่างก็ได้เห็นวิกฤตการณ์ของญี่ปุ่นอันน่าตื่นตระหนกผ่านทางจอโทรทัศน์ เจ้าหน้าที่ด้านนิวเคลียร์ต้องเดินทางไปทั่วโลก เพื่อตรวจสอบระบบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มีการใช้งานอยู่ ในยุโรปนั้นมีการประกาศเตรียมยกเลิกการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในหลายประเทศ ส่วนโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหม่ๆ ในอีกหลายชาติ ก็ต้องถูกพับแผนชะลอออกไปก่อนในระหว่างที่ประชาชนยังรู้สึกหวาดกลัว

เยอรมนี คือ ชาติมหาอำนาจแห่งแรกของโลกที่ประกาศปลดประจำการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 17 แห่งในประเทศ ตามมาเมื่อเดือน พ.ค. โดยวางกรอบระยะเวลายกเลิกชัดเจนภายใน 10 ปีข้างหน้า

ขณะที่เพื่อนบ้านอย่างสวิตเซอร์แลนด์ก็ประกาศตัวเป็นรายที่ 2 ในเดือน มิ.ย. เตรียมยกเลิกการใช้พลังงานนิวเคลียร์ภายในปี 2034 ส่วนอิตาลีตัดสินใจดำเนินการหยั่งเสียงลงประชามติ ก่อนที่ชาวอิตาเลียนส่วนใหญ่จะโหวตให้ยุติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศเช่นเดียวกัน ขณะที่ประเทศเบลเยียมก็เป็นอีกชาติในยุโรปที่กำลังพิจารณายุติพลังงานต้นทุนถูก แต่อาจก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงเป็นวงกว้างเช่นนี้

และแม้แต่ฝรั่งเศสซึ่งถือเป็นชาติมหาอำนาจในวงการพลังงานนิวเคลียร์โลก โดยผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์มากถึง 75% และยังส่งขายต่างประเทศด้วยนั้น การตั้งคำถามถึงอนาคตอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ในประเทศของตนเอง ก็ได้กลายเป็นประเด็นหนึ่งที่สำคัญในการรณรงค์เลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส ในเดือน เม.ย. 2012 ที่จะถึงนี้ด้วย

ในญี่ปุ่นเองนั้นต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนพลังงานไปพักหนึ่ง เมื่อรัฐบาลสั่งระงับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีกหลายแห่ง เพื่อทดสอบมาตรฐานด้านความปลอดภัยของเตาปฏิกรณ์และระบบป้องกันความปลอดภัยโดยรวม ส่งผลให้ประเทศที่เป็นเขตเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลกแห่งนี้ มีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ผลิตกระแสไฟฟ้าได้อยู่เพียง 9 แห่งเท่านั้น

ปัจจุบันยังไม่ชัดเจนว่าบรรดายักษ์ใหญ่ทั้งหลายในอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ อาทิ จีอีฮิตาชิ และโตชิบาเวสทิงเฮาส์ จากสหรัฐและญี่ปุ่น โรซาตอม จากรัสเซีย และอารีวา จากฝรั่งเศส จะมีปฏิกิริยาต่อวิกฤตการณ์ในแวดวงนิวเคลียร์วันนี้อย่างไร

บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างมีความเห็นแตกต่างกันไปหลายทิศทาง มีทั้งที่เห็นว่าอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์มาถึงจุดล่มสลายแล้ว ส่วนฝ่ายที่ประนีประนอมก็มองว่า เป็นภาวะขาลง หรือเติบโตได้ลดลง

ทว่าการรายงานตัวเลขจากสำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (ไอเออีเอ) อาจให้คำตอบที่ชัดเจนได้ในตัวแล้ว โดยพบว่าหลังจากเกิดวิกฤตการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมา อัตราการยกเลิกโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่ได้พุ่งสูงถึง 50% ส่วนในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วนั้น ไม่มีชาติใดเลยที่มีโครงการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่ ส่วนโรงไฟฟ้าที่มีอยู่แล้วนั้นก็ถูกยกเลิกไปถึง 15%

มีเพียงเอเชียทวีปเดียวที่ยังคงเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อยู่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการพลังงานอันมหาศาลในยุคของการเป็นผู้นำการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งปัจจุบันกำลังมีการก่อสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ถึง 3 ใน 4 จากที่วางแผนไว้ทั้งหมด 62 แห่ง โดยเฉพาะจีนและอินเดียที่ปัจจุบันเป็นผู้บริโภคพลังงานถ่านหินรายใหญ่ที่สุดในโลก และไม่มีพลังงานราคาถูกใดๆ เป็นตัวเลือกนอกจากนิวเคลียร์อีก

ชาติยุโรปบางประเทศ อาทิ อังกฤษ ฟินแลนด์ สวีเดน และโปแลนด์ กำลังมองหาทางออกด้วยการใช้วิธีซื้อขายคาร์บอนในตลาดคาร์บอน (Carbon Cap) ซึ่งยุโรปเป็นผู้ริเริ่ม ทว่าการจะหาพลังงานทางเลือกใหม่ที่ปล่อยมลพิษน้อยนอกจากนิวเคลียร์นัน ก็ยังเป็นเรื่องยาก

แม้พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์จะมีราคาถูกกว่า แต่ก็ยังผลิตได้ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ และยังผลิตได้ไม่แน่นอนเพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยสภาพภูมิประเทศที่ตั้งและสภาพอากาศด้วย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางฝ่ายมองว่า ทรัพยากรดั้งเดิมของโลกอย่างก๊าซธรรมชาติ อาจเป็นผู้ชนะในวันที่นิวเคลียร์ถึงยุคขาลง

แต่ไม่ว่าใครจะเป็นผู้แพ้ หรือผู้ชนะในอุตสาหกรรมพลังงานวันนี้ ก็มีสิ่งหนึ่งที่คงความชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง

พลังงานราคาถูกบนความเสี่ยงต่ำนั้นไม่มีในโลก

 

ข่าวล่าสุด

"ธรรมนัส” เผย 25 ธ.ค.นี้ กล้าธรรมเปิดตัวสส.ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์