ชัยชนะของเทศบาลนครปากเกร็ด
อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ตั้งอยู่บนสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำท่วมปี 2554 นี้
อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ตั้งอยู่บนสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำท่วมปี 2554 นี้
โดย..นพ.วิชัย โชควิวัฒน
ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาน้ำท่วมสูง แต่ฝั่งตะวันออกซึ่งอยู่ในเขตปกครองของเทศบาลนครปากเกร็ด น้ำท่วมเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
พื้นที่ในเขตเทศบาลนครแห่งนี้มีทั้งสิ้น 36.04 ตารางกิโลเมตร มีน้ำท่วมราว 5 ตารางกิโลเมตร ประชากรที่รอดพ้นจากน้ำท่วมในพื้นที่ราวแปดหมื่นกว่าครอบครัว มีราว 2 พันกว่าครอบครัวที่น้ำท่วมสูง จึงน่าสนใจว่าเทศบาลแห่งนี้ต่อสู้ต้านทานภัยพิบัติครั้งนี้มาได้อย่างไร
จากการศึกษาติดตามและโดยเฉพาะจากการได้สนทนากับคุณวิชัย บรรดาศักดิ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครปากเกร็ด สามารถสรุปเหตุปัจจัยแห่งชัยชนะของเทศบาลนครปากเกร็ดได้ดังนี้
ประการแรก เพราะเทศบาลแห่งนี้มีการเตรียมการมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ไม่ใช่การต่อสู้แบบฉุกละหุก ท้องที่แห่งนี้ได้ยกฐานะเป็นเทศบาล เมื่อปี 2535 คุณวิชัยได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีมาตั้งแต่ปี 2538 และได้รับเลือกตั้งต่อเนื่องมาทุกสมัย ปี 2538 เป็นปีน้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทย ปีนั้นพื้นที่เทศบาลปากเกร็ดน้ำท่วมรุนแรงเช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆ ประชาชนจึงตระหนักดีถึงปัญหา
ที่จริงเขตเทศบาลนครปากเกร็ดมีน้ำท่วมใหญ่ตั้งแต่ปี 2526 ทางเทศบาลจึงเริ่มวางแผนและดำเนินการแก้ปัญหามาอย่างต่อเนื่อง การก่อสร้างซ่อมแซมถนนหนทางทุกสาย จึงคำนึงถึงวัตถุประสงค์ในการป้องกันน้ำท่วมเป็นสำคัญ มีการยกระดับถนนให้สูงขึ้นเพื่อเป็นแนวกั้นน้ำด้วย นอกเหนือจากเป็นทางสัญจร สิ่งสาธารณูปโภคอื่นๆ ทั้งไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และอื่นๆ ก็ได้มีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง การประปานครหลวง กรมทางหลวงชนบท องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เป็นต้น ให้เข้ามาร่วมวางระบบและทำงานกับชุมชนเป็นประจำ
ประการที่สอง มีการเตรียมชุมชนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง หัวใจสำคัญคือการสร้างชุมชนให้เข้มแข็งและเป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง กล่าวคือ ชุมชนจากเดิมมีเพียง 15 ชุมชน ปัจจุบันเพิ่มเป็น 63 ชุมชน มีการเลือกตั้งผู้นำชุมชนเพื่อให้ได้ผู้นำที่มีความรู้ความสามารถ และมีผลงานเป็นที่ยอมรับของประชาชนในชุมชน มีการกำหนดวิสัยทัศน์ให้ประชาชนร่วมกันคิดว่า 20 ปีข้างหน้าชุมชนของตนจะมีภาพอนาคตที่พึงประสงค์อย่างไร
ในการต่อสู้กับน้ำปีนี้ มีการปรึกษาหารือและวางแผนร่วมกันกับชุมชนมาตั้งแต่เดือน มิ.ย.เพื่อกำหนดแนวคันกั้นน้ำว่าส่วนไหนจะยอมให้น้ำท่วม ส่วนไหนจะป้องกันรักษาไว้ จะให้การดูแลช่วยเหลือส่วนที่ถูกน้ำท่วมอย่างไร หน่วยงานและองค์กรต่างๆ จะมีส่วนร่วมในงานนี้อย่างไรบ้าง ตลอดจนการเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร เครื่องมือไว้แต่เนิ่นๆ
ผลของการเตรียมการอย่างมีส่วนร่วม จึงเป็นการกระจายบทบาทภารกิจ และเกิดการระดมสรรพกำลังจากทุกภาคส่วนอย่างเต็มที่ ดังปรากฏว่าวัดหงษ์ทอง เป็นจุดสำคัญในการกรอกทรายลงกระสอบตั้งแต่วันที่ 5 ส.ค. มีพระเณรและประชาชนทั้งที่อยู่ในแนวคันกั้นน้ำท่วม และที่อยู่นอกแนวซึ่งถูกน้ำท่วมสูงในเวลาต่อมา ช่วยกันวันละนับร้อย ทั้งกรอกทราย เดินยาม สูบน้ำ และทำอาหารตลอดจนการงานอื่นๆ ตลอดระยะเวลาของการทำ “ศึกสงคราม” กับน้ำครั้งนี้
ประการที่สาม เทศบาลนครปากเกร็ดมีพื้นที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยายาวเกือบ 10 กิโลเมตร การต่อสู้กับน้ำปีนี้มีการสร้างแนวคันกั้นน้ำสูงถึง 3 เมตรครึ่ง หนีน้ำซึ่งท่วมสูงที่สุดถึง 3.40 เมตร โดยสร้างเป็นสองชั้น ชั้นนอกเป็นกระสอบทรายซึ่งมีการเสริมฐานให้กว้างเพียงพอ เมื่อต้องก่อคันให้สูงขึ้นๆ ชั้นในเป็นคันดินสูงเพื่อป้องกันกรณีคันกระสอบทรายแตก ใช้กระสอบทรายไปทั้งสิ้นกว่า 3 ล้านใบ ใช้รถแบ็กโฮถึง 10 คัน ในเขตที่ถูกน้ำท่วมมีการ สร้างสะพานไม้ให้ชาวบ้านสัญจรไปมาเพื่อเดินทางไปทำงาน และซื้อหาข้าวของได้เหมือนปกติ
ที่สำคัญคือ ประชาชนในเขตน้ำท่วมนอกจากสามารถเดินทางไปทำงานได้แล้ว ยังสามารถมี “จิตอาสา” มาช่วยทำอาหารและอื่นๆ เลี้ยงคนทั้งในชุมชนใกล้ไกล
การเตรียมการอย่างดีแต่เนิ่นๆ ทั้งเครื่องมือและชุมชน เมื่อน้ำทะลักท่วมจากพื้นดินหรือพื้นคอนกรีตในที่ต่างๆ เช่น ที่ลานวัดหลายแห่งที่อยู่ริมน้ำ และสร้างไว้ไม่แข็งแรง ก็สามารถเข้าไปทำคันล้อมและสูบน้ำออกจนแห้งได้ภายในเวลาเพียงครึ่งวัน และเมื่อน้ำทะลักตลบหลังเข้ามาทางคันคลองประปา ก็สามารถสร้างคันดินป้องกันยาวถึง 17 กิโลเมตร เสร็จภายในเวลาเพียงสองวัน
เทศบาลใช้เงินเพื่อการต่อสู้เอาชนะมหาอุทกภัยครั้งนี้ไปราวร้อยกว่าล้าน จากงบประมาณทั้งปี ปีละ 700-800 ล้าน ที่จริงมีเงินไว้ใช้ในการแก้ปัญหาโดยตรงเพียง 50 ล้าน อีกกว่า 50 ล้าน ได้จากการประหยัดงบประมาณในแผนงานโครงการอื่น นับว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง
ทำอย่างไรจะสร้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งเช่นเทศบาลนครปากเกร็ดทั่วทั้งแผ่นดิน


