ทุกข์ใจ...ทำไมถึงเป็นหนี้
ใคร ๆ ก็ไม่อยากเป็นหนี้ เพราะเป็นหนี้แล้วมีความทุกข์ สุขหายไป ทุกข์เพราะไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ บางคนเป็นหนี้ซ้ำซากเป็นดินพอกหางหมู โดยเฉพาะหนี้นอกระบบเก็บดอกเบี้ยโหด เมื่อไม่มีเงินส่งต้นและดอก ก็ถูกข่มขู่ทำร้าย
ใคร ๆ ก็ไม่อยากเป็นหนี้ เพราะเป็นหนี้แล้วมีความทุกข์ สุขหายไป ทุกข์เพราะไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ บางคนเป็นหนี้ซ้ำซากเป็นดินพอกหางหมู โดยเฉพาะหนี้นอกระบบเก็บดอกเบี้ยโหด เมื่อไม่มีเงินส่งต้นและดอก ก็ถูกข่มขู่ทำร้าย
โดย...มนต์ฤทัย นรคง
ใคร ๆ ก็ไม่อยากเป็นหนี้ เพราะเป็นหนี้แล้วมีความทุกข์ สุขหายไป ทุกข์เพราะไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ บางคนเป็นหนี้ซ้ำซากเป็นดินพอกหางหมู โดยเฉพาะหนี้นอกระบบเก็บดอกเบี้ยโหด เมื่อไม่มีเงินส่งต้นและดอก ก็ถูกข่มขู่ทำร้าย
แม้แต่ “ครูน้อย” แม่พระของเด็ก ๆด้อยโอกาส ใช้บริการลูกหนี้นอกระบบดอกเบี้ยเบ่งบาน ไปกู้เงินมาเลี้ยงเด็กในศูนย์รับเลี้ยงเด็กจนเป็นหนี้กว่า 8 ล้านบาท จนเบื้องหลังชีวิตกลายเป็นทอลก์ออฟเดอะทาวน์ สร้างความสะเทือนใจไปทั่ว
รัฐบาลเองก็พยายามหาวิธี แก้ปัญหาเจ้าหนี้นอกระบบเก็บดอกเบี้ยโหด ที่ส่งคนไปทำร้ายลูกหนี้ จนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ และกลายเป็นปัญหาสังคม แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ที่แน่ๆ ลูกนี้ขวัญหนีดีฝ่อไม่เป็นอันทำกิน บางรายหนีหัวซุกหัวซุน กระทั่งรัฐบาลมีนโยบายอุ้มหนี้คนจน เปิดโอกาสให้ลูกหนี้มาลงทะเบียน ปรากฎว่า ได้รับความสนใจจากประชาชน
จำนวนมาก โดยกระทรวงการคลัง ได้สรุปตัวเลข “ลูกหนี้นอกระบบ” ทั่วประเทศที่มาลงทะเบียนจนถึงวันที่ 17 ก.พ. จำนวน 1,195,481 ราย
แยกเป็นธนาคารออมสิน 621,649 ราย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 573,832 รายคิดเป็นมูลหนี้ 122,859,308,158.76 บาท แยกเป็นพื้นที่กทม. 84,653 ราย มูลหนี้ 7,526.97 ล้านบาท และส่วนภูมิภาค 1,110,828 ราย มูลหนี้ 115,332.33 ล้านบาท โดยเฉลี่ยเป็นหนี้รายละ 103,000 บาท มีอยู่ 1,194,710 คน ยอดมูลหนี้สูงถึง 122,794,738,319.76 บาท ในจำนวนนี้ยังไม่รวมลูกหนี้ขี้อายไม่กล้ามาลงทะเบียน และลูกหนี้ไม่เข้าหลักเกณฑ์อีกเป็นจำนวนมาก
จังหวัดที่มีการลงทะเบียนสูงสุด 5 ลำดับ รองจากกทม.คือ สุรินทร์ 65,415 ราย มูลหนี้ 6,720.06 ล้าน ศรีสะเกษ 60,850 ราย มูลหนี้ 6,105.11 ล้าน บุรีรัมย์ 59,910 ราย มูลหนี้ 5,755.72 ล้าน นครราชสีมา 58,148 ราย มูลหนี้ 6,236.64 ล้าน และอุบลราชธานี 46,990 ราย มูลหนี้ 4,730.19 ล้าน โดยเฉลี่ยรายละ 90,000-103,000 บาท เห็นแล้วช่างน่าตกใจเหลือเกิน !!!
“ศูนย์หนี้นอกระบบ” ของกระทรวงยุติธรรม ที่เปิดรับเรื่องร้องเรียน ได้ประชุมร่วมกับผู้แทนกระทรวงการคลัง กรมสรรพากร อัยการฝ่ายคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อหาข้อมูล พบว่า “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” กระทรวงการคลังรายงานสถิติว่าตกเป็นลูกหนี้นายทุนดอกโหดมากที่สุดของประเทศโดย เฉพาะในพื้นที่จ.อุบลราชธานี และศรีสะเกษ สาเหตุที่คนอีสานเป็นหนี้พะรุงพะรังมาจาก 2 สาเหตุ คือ 1.ไม่รู้กฎหมาย 2.เข้าไม่ถึงความยุติธรรม นั่นเอง
ศูนย์หนี้นอกระบบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รายงานผลการตรวจสอบกลางที่ประชุมว่า ลูกหนี้ที่ถูกกรมบังคับคดีไล่ยึดทรัพย์ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานีมี “เจ้าหนี้นอกระบบ” ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการฝ่ายปกครองสองสามีภรรยาปล่อยกู้จนเป็น อุตสาหกรรมครอบครัว โดยมีพฤติการณ์ว่าเมื่อสามีปล่อยกู้ต่อมาลูกหนี้ไม่มีเงินชำระหนี้ ภรรยาก็จะให้กู้เพื่อเอาเงินมาใช้สามีจนลูกหนี้เป็นหนี้แบบเวียนเทียนเกือบ 1.8 พันราย สืบสวนไปก็พบพฤติกรรมว่า มีการทำสัญญาให้ลูกหนี้กู้เงิน 5 หมื่นบาท แต่เขียนสัญญา 1.5 หมื่นบาท และให้ขายฝากบ้านและที่ดิน เมื่อถึงเวลาไม่มีเงินจ่าย ถูกฟ้องขับไล่ เจ้าหนี้อาศัยอำนาจ “ศาล” บังคับจำนองเอาหนี้สินขายฝากดังกล่าวไปขายทอดตลาดอย่างไม่เป็นธรรม เพราะความไม่รู้กฎหมายลูกหนี้ จึงเสียเปรียบในการทำสัญญา เมื่อถูกฟ้องก็ยังไม่มีทนายความช่วยเหลือ ศาลหรือพนักงานบังคับคดีเห็นแล้ว แต่ช่วยเหลือไม่ได้ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ “สัญญา”
นอกจากพื้นที่อีสานแล้วทาง “ภาคตะวันออก” อย่าง จันทบุรี พัทยา ก็พบว่ามีลูกหนี้นอกระบบร้องเรียนมามาก ดีเอสไอเผยข้อมูลลับกลางวงประชุมว่า มี “เสี่ย” คนหนึ่งใน อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี เป็นเจ้าของกิจการโรงแรมใหญ่โต แต่ พลางตัว โดยปล่อยให้ตัวเองเป็นบุคคลล้มละลาย และถูกศาลพิทักษ์ทรัพย์ แต่ความจริงมีทรัพย์สินมากมาย และอยู่เบื้องหลังการปล่อยกู้นอกระบบใน จ.จันทบุรีระดับผู้ทรงอิทธิพล รวยจนมีเรือยอชท์ และโรงแรม ขณะนี้ดีเอสไอกำลังตามสืบเบื้องหลังอยู่
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมยังพบว่า ลูกหนี้นอกระบบในกลุ่ม “พนักงานรัฐวิสาหกิจ” เช่น พนักงาน ขสมก. พนักงานการไฟฟ้า พนักงานการรถไฟ และพนักงานสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก และกำลังแยกแยะพฤติการณ์เจ้าหนี้ซึ่งพบว่าเป็น “ข้าราชการ” แต่มีเงินปล่อยกู้มากมายอย่างผิดปกติ ขณะนี้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง.กำลังสืบสวนสะกดรอยอยู่
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมทุกฝ่ายต่างยอมรับว่า เมื่อลูกหนี้เป็นหนี้ก็ต้องชดใช้ และเรื่องวงเงินที่รัฐจะเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้เพื่อให้มีเงินชำระหนี้นั้น เป็นภารกิจของกระทรวงการคลังที่จะต้องจัดหา ขณะที่กระทรวงยุติธรรม จะมีหน้าที่ช่วยเหลือให้ความเป็นธรรมทางกฎหมาย และปราบปรามเจ้าหนี้นอกระบบ ข้อมูลสำคัญที่ศูนย์หนี้นอกระบบพบคือ ความไม่ชอบมาพากลในกลุ่มลูกหนี้ที่อยู่ในระหว่างถูกบังคับคดี 1,198 รายจาก 1.8 พันรายของเจ้าหนี้ สองสามีภรรยาที่ จ.อุบลราชธานีที่จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที รวมถึงลูกหนี้ของเสี่ยจ.จันทบุรี
ทั้ง 2 กรณีนี้จะใช้เป็น “โมเดล” ที่ดีเอสไอจะเข้าไปสอบสวน โดยจะลงพื้นที่ทั้งสองจังหวัดเพื่อตรวจสอบว่า เจ้าหนี้มีพฤติการณ์ทำสัญญากู้เงินแบบนิติกรรมอำพราง เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา หรือเซ็นลอยสัญญาโดยใส่ตัวเลขภายหลังเองหรือไม่ และเป็นผู้ทรงอิทธิพลเข้าลักษณะ “อั้งยี่ซ่องโจร” หรือไม่ ดีเอสไอจะมีอำนาจตามกฎหมายอาญา กฎหมายคุ้มครองผู้
บริโภค และกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ฯลฯ ที่จะใช้ดำเนินคดีกับเจ้าหนี้ 2 จังหวัด ก่อนขยายผลไปปราบปรามจับกุมเจ้าหนี้นอกระบบในพื้นที่อื่น ๆ ตามข้อมูลร้องเรียนต่อไป
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องมาดูความตั้งใจของรัฐบาลว่า จะแก้ปัญหาเจ้าหนี้นอกระบบเก็บ และดอกโหดได้หรือไม่ ถ้าแก้ได้ก็ถือเป็นบุญของคนจน แต่เมื่อแก้แล้วต้องหาทางป้องกันและปลูกฝังด้วยเพื่อไม่ให้คนเหล่านี้กลับไปเป็นหนี้ซ้ำซากอีก !!!!
ท่องคาถาปลดหนี้ให้ขึ้นใจ
มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคให้ข้อมูลเตือนใจ คนมีเงินมากแล้วก็ผลาญจนหมด เกิดหนี้สิน สาเหตุมาจากเมื่อเรามีเงินก้อนใหญ่ ในขณะที่สภาพจิตใจเรายังไม่พร้อม เงินจึงอยู่กับเราไม่ได้นาน สุดท้าย กลับไปติดหนี้สินต่อไป เนื่องจากความสามารถมีไม่มากพอ ที่จะหาและรักษาเงินจำนวนมากๆ เอาไว้ ดังนั้น เครื่องควบคุมระดับการเงิน หรือ แผนผังทางการเงินในใจของเรา จึงเป็นสิ่งจะต้องพิจารณา และกำหนดให้ ถูกต้อง เพื่อที่จะนำไปสู่เป้าหมาย การปลดหนี้
วิธีปลดหนี้บัตรเครดิต
1.วางแผนโดยการเขียน ลำดับของหนี้บัตรเครดิต เรียงจากอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดไปยังต่ำที่สุด และ เริ่มต้นจากหนี้บัตรเครดิตที่มี อัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน ชื่อของบัตรเครดิต จำนวนที่ยืม อัตราดอกเบี้ย
2.ลดอัตราดอกเบี้ยด้วยการโทรศัพท์ไปต่อรอง แม้อาจไม่สำเร็จเสมอไป แต่ถ้าประสบผลสำเร็จ ก็จะเป็นการลดภาระเราลง เมื่อต่อรองได้แล้ว สิ่งที่จะต้องทำให้ได้ คือ การตรงต่อเวลาในการชำระหนี้ในแต่ละเดือน หรือการมีวินัยอย่างเคร่งครัด
3.จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายทุกประเภท ทุกชนิด จากทุกคนในครอบครัว เมื่อจัดทำชัดเจนแล้ว ให้กลับ มาพิจารณาว่า รายจ่ายส่วนไหนที่สามารถลดลงได้ พยายามลดรายจ่ายให้ได้มากที่สุด รักษาวินัยให้รายได้มากกว่ารายรับ
4.เพิ่มช่องทางการหารายได้ให้มากขึ้น หรือที่เราเรียกว่า จับปลาสองมือ แต่จะต้องทำให้เกิดประสิทธิภาพ
5.มีความมุ่งมั่น มั่นคงในหลักการ ไม่ท้อถอย ไม่ก่อหนี้เพิ่ม โดย เริ่มต้น แยกแยะ หนี้สิน ที่ปลอดภัย และไม่ปลอดภัยออกจากกัน หนี้สินที่ปลอดภัยได้แก่ ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ เนื่องจากหนี้สินประเภทนี้ ถ้าเราไม่สามารถผ่อนชำระได้ ธนาคารอาจจะยึดไปขายทอดตลาด วางแผนการผ่อนชำระให้สามารถยืดหยุ่นได้ โดยอาจเจรจากับเจ้าหนี้ ในเรื่องเวลาการผ่อนชำระ วางแผน ลงทุนให้เกิดมูลค่าเพิ่ม อย่างเช่น ทำประกันภัย ทุพลภาพ อุบัติเหตุ ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ เก็บสำรองเงินฉุกเฉิน
วิธีที่ปลดหนี้สิน
1. แยกแยะหนี้สินที่ดี ออกจาก หนี้ที่ไม่ดี หนี้สินที่ดี ได้แก่ เงินยืมเรียน หนี้สินที่เกิดจากการจำนอง เงินลงทุนที่ให้ผลตอบแทน ชื่อหนี้สิน จำนวนที่ยืม อัตราดอกเบี้ยต่อปี ดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายเมื่อครบปี
2. พิจารณาหนี้ที่ไม่ดีก่อน ทำการรวมยอดหนี้ทั้งหมด ทั้งเงินต้น และดอกเบี้ย ในรอบปี ถัดมาคำนวณรายได้ประจำปีหลังหักภาษีแล้ว สุดท้ายนำมาหาร้อยละอัตราส่วนของ หนี้ ไม่ดี ต่อรายได้ประจำปี
3. ตรวจสอบดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเมื่อครบปี ว่ามีมากเท่าไหร่ ? ดอกเบี้ยส่วนนี้ เราจำเป็น จะต้องออมเงินให้สามารถจ่ายดอกเบี้ยนี้ได้ พร้อมทั้งเก็บออมแยกส่วนไว้สำหรับตนเอง
4.พิจารณาจากกระแสเงินสดที่เราใช้จ่ายในแต่ละเดือน การชำระหนี้ในแต่ละเดือนไม่ควรชำระในอัตราขั้นต่ำ เนื่องจากจะต้องใช้เวลานาน และ เสียดอกเบี้ยเป็นจำนวนมาก
5.ไม่ก่อหนี้ใหม่ข้อนี้สำคัญมาก


