posttoday

ถึงเวลาชาติไทยย้ายกรุง

16 พฤศจิกายน 2554

นอกจากวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ของไทยคราวนี้ จะสะท้อนให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลในการจัดการรับมือแก้ปัญหาแล้ว

นอกจากวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ของไทยคราวนี้ จะสะท้อนให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลในการจัดการรับมือแก้ปัญหาแล้ว

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ

นอกจากวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ของไทยคราวนี้ จะสะท้อนให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลในการจัดการรับมือแก้ปัญหาแล้ว บรรดานักวิชาการทั่วโลกต่างระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า เหตุอุทกภัยรุนแรงในครั้งนี้กำลังชี้ชะตาทำนายอนาคตของไทย โดยเฉพาะเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร

ชะตากรรมที่นักวิชาการเหล่านี้มองเห็นก็คือ กทม.ศูนย์กลางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมืองของไทย จะจมหายไปในสายน้ำในอีกราว 50 ปีข้างหน้านี้

ข้อสันนิษฐานข้างต้นยืนยันได้จากรายงานการศึกษาองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) เมื่อเดือน ธ.ค. ปี 2550 ที่ระบุว่า จากสภาพภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไปบวกกับการเร่งรัดพัฒนาเมืองตามประเทศต่างๆ ส่งผลให้หลายๆ เมืองทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่จะจมน้ำภายในปี 26-13 นี้

“การละลายของภูเขาน้ำแข็งจะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดพายุรุนแรงบ่อยครั้ง อีกทั้งการพัฒนาเมือง โดยเฉพาะเมืองต่างๆ ในเอเชียจะยิ่งทำให้ผืนดินซึ่งอยู่ใกล้ชายฝั่ง หรือเป็นที่ราบลุ่มจมลง” โออีซีดีเตือนไว้ในรายงาน

ผลลัพธ์ก็คือ ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า หลายๆ เมืองมีสิทธิเผชิญหน้ากับน้ำท่วมครั้งใหญ่ โดยเมืองที่มีความเสี่ยงมากที่สุดก็คือ กัลกัตตา ตามด้วย มุมไบ ดาการ์ กว่างโจว โฮจิมินห์ ซิตี เซี่ยงไฮ้ กทม. ย่างกุ้ง ไมอามี และไห่ฟง ตามลำดับ

เรียกได้ว่า โออีซีดีได้กระตุ้นเตือนไทยกลายๆ ตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้วว่า กทม.ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่เสี่ยงเผชิญหน้ากับน้ำท่วมครั้งใหญ่ถึงขนาดจมทั้งเมือง

แต่น่าเสียดายว่า ไทยแลนด์กลับไม่ตื่นตัวหรือคิดแผนเพื่อรับมือกับปัญหานี้อย่างจริงจัง

อย่างไรก็ตาม เหตุน้ำท่วมใหญ่ในรอบ 50 ปี ของไทยในครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญมองว่า ไทยน่าจะตระหนักถึงภัยน้ำท่วมที่กำลังคุกคาม จนเริ่มต้นลงมือป้องกันอย่างจริงจังเสียที

ถึงเวลาชาติไทยย้ายกรุง

 

ทว่า นักวิชาการและนักวิเคราะห์หลายฝ่ายต่างประเมินตรงกันว่า ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงและอยู่ห่างจากทะเลเพียง 30 กม. ของ กทม.อาจทำให้การคิดหามาตรการป้องกัน ไม่ให้ราชธานีแห่งนี้จมน้ำอาจเป็นการเสียเวลาเปล่า

ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีทางออกอะไรที่ดีไปกว่า การเตรียมมองหาเมืองหลวงสำรอง หรือย้ายเมืองหลวงของประเทศให้ไปอยู่ในชัยภูมิที่ปลอดภัยจากน้ำ

ทั้งนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ต่างระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า เรื่องการย้ายเมืองหลวงของประเทศหนึ่งๆ นั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่น่าตกอกตกใจแต่อย่างใด

เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมา หลายๆ ประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งไทยก็เคยมีการเคลื่อนย้ายเมืองหลวงมาแล้ว โดยเหตุผลหลักๆ ของการเปลี่ยนเมืองหลวงส่วนใหญ่ ก็เนื่องมาจากความเหมาะสมของพื้นที่เป็นสำคัญ

สำหรับ กทม.เมืองหลวงของไทยในปัจจุบัน ซึ่งตั้งอยู่บนความเสี่ยงที่จะจมน้ำในอีกครึ่งทศวรรษข้างหน้า หนำซ้ำยังไม่มีระบบป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อปัญหาจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

นักวิชาการต่างชาติส่วนหนึ่งจึงลงความเห็นตรงกันว่า การย้ายเมืองหลวงของไทยไปอยู่ในที่ที่สูงกว่า แทนที่จะตั้งบนพื้นที่ราบลุ่ม เช่น กทม.ในปัจจุบันดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด และเป็นประโยชน์สำหรับไทยมากที่สุดในอนาคต

โดยพื้นฐานแล้วเมืองหลวงคือ ศูนย์กลางของอำนาจในการปกครองบริหารประเทศ ทั้งในแง่สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นหัวใจของประเทศหนึ่งๆ ซึ่งถ้าหากเกิดสภาพที่เรียกว่า “อัมพาต” ขึ้นกับเมืองหลวง ด้วยเหตุสุดวิสัยอย่างภัยธรรมชาติประเทศนั้นๆ หนีไม่พ้นกับการเผชิญหน้ากับหายนะครั้งใหญ่แน่นอน

อย่างที่คน กทม.กำลังใจตุ๊มๆ ต้อมๆ อยู่ในเวลานี้

เหตุธรณีพิบัติและคลื่นสึนามิถล่มที่ชายฝั่งตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา คือตัวอย่างยืนยันได้ดีที่สุดที่ธุรกิจ กิจการ โรงงาน และอุตสาหกรรมทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กต่างได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง เนื่องจากขาดแคลนชิ้นส่วนอุปกรณ์และวัตถุดิบในการผลิต

ความโกลาหลที่เกิดขึ้นส่งผลให้รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มคิดแผนสร้างเมืองหลวงสำรองแทนกรุงโตเกียว เพื่อที่ว่าในกรณีที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวหรือหายนภัยอื่นๆ รัฐบาลญี่ปุ่นก็จะสามารถเดินหน้าทำงานต่อไปได้โดยไม่ติดขัด

ทั้งนี้ แผนเมืองสำรองของรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งมีรหัสเรียกว่า IRTBBC (Integrated Resort Toursim Business and Backup City) นี้จะอยู่ห่างจากกรุงโตเกียวไปทางตะวันตกราว 300 ไมล์ โดยปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสนามบินอิตามิ ซึ่งไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไรนัก เนื่องจากมีสนามบินใหญ่อื่นๆ อย่างสนามบินคันไซและสนามบินโกเบเข้ามาให้บริการแทน

ตามแผนการที่รัฐบาลญี่ปุ่นวางไว้ เมืองหลวงสำรองซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 1,236 เอเคอร์ จะเต็มไปด้วยสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อรองรับรัฐสภา กระทรวงต่างๆ อาคารสำนักงานความสูง 625 เมตร รีสอร์ต กาสิโน และสวนสาธารณะ

เรียกได้ว่ามีครบทุกอย่างที่เมืองหลวงทุกแห่งทั่วโลกควรจะมี และสามารถรองรับประชากรเพื่อพักอาศัยได้ราว 5 หมื่นคน

ฮาจิเมะ อิชิอิ หนึ่งในผู้ที่มีส่วนร่วมกับแผนเมืองหลวงสำรอง กล่าวว่า แนวคิดดังกล่าวคล้ายๆ กับหลักการแบตเตอรี่ที่จะต้องมีสำรองไว้เสมอ เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ท่ามกลางวิกฤต

นอกจากนี้ แผนเมืองหลวงสำรองนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่ายรวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรี นาโอโตะ คัง หรือชิซูกะ คาเมอิ บุคคลสำคัญในพรรคฝ่ายค้านต่างก็ยกมือสนับสนุนแผนการที่ว่านี้อย่างเต็มที่

เพราะนอกจากกรุงโตเกียวจะเสี่ยงกับเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงเป็นระยะๆ แล้ว จากการศึกษาของโออีซีดียังระบุชัดอีกว่า ชะตากรรมของกรุงโตเกียวก็ไม่แตกต่างจาก กทม.เท่าไรนัก

นั่นคือ มีความเสี่ยงที่จะจมน้ำในอนาคตข้างหน้าที่กำลังจะมาถึง เพียงแต่ความเสี่ยงยังไม่สูงถึงขั้นติดอันดับท็อปเทน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแผนเมืองหลวงสำรองนี้จะยังคงเป็นแค่แนวคิดที่ต้องอาศัยการลงทุนสูงเฉพาะแค่การศึกษาแนวทางเบื้องต้นก็คิดเป็นเงินแล้ว 14 ล้านเยน (ราว 532 ล้านบาท)

แต่การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย หรือน่าอับอายเกินวิสัยที่จะลงมือทำ

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยหลายสมัยที่ผ่านมาจะไม่ได้ตระหนักถึงความเสี่ยงเท่าไรนัก ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามถึง 61% จากการสำรวจทางเว็บไซต์ของไฟแนนซ์เอเชีย ยังระบุว่า ไม่เห็นด้วยที่ประเทศไทยจะย้ายเมืองหลวง เนื่องจากต้องใช้เงินงบประมาณในขั้นอภิมหึมามหาศาล

กระนั้น คำถามที่ตามมาก็คือว่า เมื่อคำนวณในระยะยาวแล้ว วิธีการไหนจะคุ้มค่ากว่ากันระหว่างย้ายเมืองหลวงกับทุ่มเงินสร้างปราการป้องกันน้ำ

ทั้งนี้ บรรดานักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกต่างเห็นตรงกันโดยไม่ได้นัดหมายว่า หากคำนึงในระยะยาวแล้วการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ในพื้นที่ที่สูงกว่า กทม.ดูจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมมากที่สุด

เพราะเมืองหลวงของไทยในปัจจุบันเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำรอบ เป็นพื้นที่รองรับน้ำฝนซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี และเป็นพื้นที่ที่อยู่ไม่ไกลจากทะเลที่ระดับน้ำมีแนวโน้มสูงขึ้นจากน้ำแข็งขั้วโลกที่ละลาย

เหตุผลดังกล่าวนับได้ว่าเพียงพอที่จะทำให้ไทยต้องหันมาทบทวนเรื่องการย้ายเมืองหลวงอย่างจริงจังอีกครั้ง โดยบรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างหวังตรงกันว่า ประเทศไทยคงจะไม่มัวแต่คิดจนไม่ลงมือทำอะไรเลย

เพราะเวลาอีก 50-60 ปีข้างหน้า นั้นไม่ไกลจริงๆ !  

 

ข่าวล่าสุด

จากดราม่า ‘น้องหมากินข้าวร่วมโต๊ะในร้าน’ สู่การส่องกฎหมาย Pet Friendly ของ ‘เกาหลีใต้’