posttoday

พระราม2ลุ้น10วัน บางชันรอดแน่

15 พฤศจิกายน 2554

จากการลงพื้นที่สำรวจถนนพระราม 2 เขตบางขุนเทียน พบว่านอกเหนือจากระดับน้ำจะขึ้นสูงในซอย 69

จากการลงพื้นที่สำรวจถนนพระราม 2 เขตบางขุนเทียน พบว่านอกเหนือจากระดับน้ำจะขึ้นสูงในซอย 69

ซึ่งระดับน้ำสูงสุดขึ้นถึงระดับอกในระยะเวลาเพียง 3 วันที่ผ่านมา ซึ่งจุดที่ยังน่าเป็นห่วงคือพื้นที่พระราม 2 ฝั่งทิศเหนือ ซึ่งเป็นซอยเลขคู่ ระดับน้ำเอ่อล้นผิวถนนในหลายซอย โดยมีระดับน้ำเฉลี่ยตั้งแต่ 515 ซม.

ด้าน เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร กล่าวว่า น้ำจะเข้าท่วมเต็มพื้นที่ถนนพระราม 2 ซอย 69 ภายใน 10 วัน เนื่องจากคลองรางแก้วและคลองลาดลำภู เป็นคลองที่ตัน

อย่างไรก็ตาม ระดับน้ำบนถนนบางขุนเทียนมีระดับน้ำที่สูงกว่า โดยอยู่ที่ระดับ 20-30 ซม. และยังเอ่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และหลายซอยที่ยังไม่ได้ปรับปรุง ก็พบปริมาณน้ำเริ่มท่วมขัง เช่น ในซอย 9-2 ต่อเนื่องไปถึงชุมชนหลังสวน เป็นต้น ขณะที่สำรวจปริมาณน้ำในคลองใกล้เคียงก็พบว่ามีปริมาณสูงขึ้นเรื่อยๆ

พระราม2ลุ้น10วัน บางชันรอดแน่

ขณะที่ชุมชนการเคหะธนบุรีที่ 3 ซึ่งตั้งอยู่ในซอย 62 มีการวางแนวป้องกันน้ำอย่างเต็มที่ แต่พบว่าระดับน้ำหลังแนวป้องกันก็เริ่มสูงขึ้นเช่นกัน และเชื่อว่าอาจจะเอ่อล้นท่วมในพื้นที่ได้ หากระดับน้ำยังเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งก็ได้มีการจัดทีมเฝ้าระวังขึ้นมาทำการตรวจสอบแนวป้องกันที่วางไว้ตลอดเวลา

สำหรับความคืบหน้าของถนนพระราม 2 ซอย 69 ซึ่งเป็นจุดแรกที่น้ำท่วมของถนนพระราม 2 เริ่มอพยพออกจากที่อยู่อย่างต่อเนื่อง หลังระดับน้ำเพิ่มขึ้นสูงตลอดทั้งวันที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเดินหน้าช่วยเหลือประชาชน เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องต่าง ๆ

ระดับน้ำที่ถนนสายหลักในซอย 69 เพิ่มขึ้นประมาณ 1015 ซม. ต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา ทำให้ระดับน้ำที่ถนนสายหลักอยู่ที่ระดับ 20-30 ซม. ขณะที่ภาพรวมของถนนสายรอง มีปริมาณน้ำที่สูงกว่าถนนสายหลัก โดยระดับน้ำสูงสุดที่ซอยโรงเรียนบางขุนเทียน อยู่ที่ 1.30-1.80 ม. เนื่องจากเป็นพื้นที่ท้องช้าง

ทั้งนี้ ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และอาสาสมัครได้ร่วมมือเข้าดูแลประชาชนทั้งเรื่องการจัดหายานพาหนะรับส่ง การจัดหาอาหาร สำหรับประชาชนทั้งที่อยู่ที่ศูนย์อพยพและในบ้านพักของตนเอง ซึ่งชาวบ้านเริ่มทยอยเดินทางออกจากที่พักอาศัยมาอยู่ที่ศูนย์อพยพต่างๆ มากขึ้น ซึ่งศูนย์อพยพส่วนใหญ่จะใช้พื้นที่วัดรอบ ๆ เป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านที่ตัดสินใจอพยพออกมาก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน เนื่องจากศูนย์อพยพบางแห่งมีผู้อพยพอยู่เต็มพื้นที่แล้ว เช่น ที่อาคารฝึกซ้อมกีฬา ศูนย์เยาวชนบางบุนเทียน ที่ประกาศรองรับผู้อพยพแค่ 200 คนในเบื้องต้น ก็เพิ่มการรับรองผู้อพยพเป็น 450 คน แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการอยู่ดี

ด้านนิคมอุตสาหกรรมบางชัน นอกจากนี้ ในพื้นที่ถนนพระราม 2 ยังพบพ่อค้าหลายรายที่นำสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมมาจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นชุดกันน้ำ รองเท้าบู๊ท เรือหลายรูปแบบ รวมไปถึงปั้มน้ำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาจัดการดูแลในหลายพื้นที่ที่มีการวางจำหน่ายสินค้ากีดขวางการจราจร แต่ก็มีผู้ที่แสดงความสนใจและจับจ่ายซื้อสินค้ามากพอสมควร

ธเนศ วีระศิริ เลขาธิการวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะที่ปรึกษานิคมอุตสาหกรรมบางชัน กล่าวว่า สถานการณ์ของนิคมอุตสาหกรรมบางชันขณะนี้ ค่อนข้างนิ่งจากระดับน้ำเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดระดับน้ำในบึงกระเทียม คลองหลอแหล และประตูระบายน้ำคลองแสนแสบ (อี11) ลดลงอย่างต่อเนื่อง

โดยระดับน้ำล่าสุด 16.30 น. เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ลดลงประมาณ 3 ซม. จากสัปดาห์ก่อน โดยที่ประตูระบายน้ำคลองแสนแสบ (อี11) อยู่ที่ 1 เมตร บึงกระเทียม 1.10 เมตร และคลองหลอแหลอยู่ที่ระดับ 1.24 เมตร

“สถานการณ์ของนิคมบางชันขณะนี้อยู่ในสถานะที่ควบคุมได้ แต่ยังไม่ไว้วางใจ ต้องติดตามระดับน้ำอย่างใกล้ชิด เพราะน้ำเหนือยังมีมาก แต่แนวทางของกรมชลประทานและกทม.ที่เร่งระบายออกทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าภายใน 7 วันรอด และภายใน 20 วันจะอยู่ในขั้นปลอดภัย โดยต้องไม่มีปัจจัยเรื่องคันกั้นน้ำที่ถูกทำลายด้วย” นายธเนศกล่าว

สำหรับสถานการณ์ของ 10 นิคมอุตสาหกรรมที่เหลือ คือ นิคมอุตสาห กรรมลาดกระบัง นิคมอุตสาหกรรมอัญธานีและนิคมอุตสาหกรรมฝั่งตะวันตก อาทิ นิคมอุตสาหกรรมสินสาคร ที่น้ำกำลังเพิ่มระดับอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังขณะนี้มีคันดินระดับความสูง 2.50 เมตร และมีคันกั้นภายในอีก 1 ชั้น ส่วนนิคมอุตสาหกรรมสินสาคร เบื้องต้นจะทำช่องทางให้น้ำไหลผ่าน (ฟลัดเวย์) ลงสู่ทะเล

ส่วนกรณีการรื้อแนวกระสอบทรายบิ๊กแบก ในเขตดอนเมืองจะส่งผลทางอ้อมต่อระดับน้ำที่อาจจะเพิ่มขึ้นในเขตสายไหม คลอง 3 วา รวมทั้งถนนรามอินทรา เสรีไทย ซึ่งเป็นเส้นทางน้ำที่เข้าสู่นิคม แต่จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงเหมือนกรุงเทพฯชั้นในอย่างถนนวิภาวดีและพหลโยธิน แต่เชื่อว่าหากบิ๊กแบ็ก ถูกรื้อแค่ 20 เมตรจะไม่ส่งผล เพราะขณะนี้ระดับน้ำทางเหนือลดลงอย่างต่อเนื่อง

ณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร เปิดเผยว่า แผนการกู้นิคมฯ ที่น้ำท่วมอยู่ระหว่างกำหนดแนวปฏิบัติให้ชัดเจน โดยในส่วนของค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าสูบน้ำ ที่มีนักลงทุนญี่ปุ่นออกมาร้องเรียนว่าไม่มีใครเข้ารับผิดชอบนั้น ทางบริษัท เอสซีเอ็มบี จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในฐานะเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการนิคมฯ เนื่องจากนิคมฯ สหรัตนครอยู่ในระหว่างการฟื้นฟูกิจการ

ทั้งนี้ ขั้นตอนการฟื้นฟูนิคมฯ จะต้องแก้ปัญหาถนนขาดให้ได้ก่อน โดยขณะนี้ได้ประสานกับกองทัพบกในการจัดส่งกำลังพลเข้ามาช่วยแล้ว คาดว่าการซ่อมถนนไปจนถึงการสูบน้ำออกจากนิคมฯ จะใช้เวลาประมาณ 30 วัน 
 

 

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี