ถนนทุกสายมุ่งสู่ที่พักพิงธรรมศาสตร์
ชีวิตหลังรั้วศูนย์พักพิง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ที่พึ่งสำคัญของผู้ประสบอุทกภัย
ชีวิตหลังรั้วศูนย์พักพิง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ที่พึ่งสำคัญของผู้ประสบอุทกภัย
โดย...สุภชาติ เล็บนาค
แม้ว่าสถานะของศูนย์พักพิงชั่วคราว มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตขณะนี้จะยังคง “ลูกผีลูกคน” ไม่มีใครรู้ว่าน้ำก้อนใหญ่จากนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ที่อยู่ห่างไปเพียง 8 ก.ม.จะเข้ามาเมื่อใดและได้ปิดรับผู้ประสบภัยที่จะมาอาศัยที่แห่งนี้ “พักพิงชั่วคราว” แล้ว แต่ผู้ประสบภัยก็ยังทยอยมุ่งสู่ศูนย์แห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย
ส่วนหนึ่งก็เพราะว่า หลังจาก “นิคมนวนคร” ถูกน้ำท่วมทั้งหมดแล้ว ทำให้คนทีอยู่ในนิคมกว่า 2แสนคนยังคงมืดแปดด้าน ไม่มีที่ไป เพราะหันซ้ายหันขวาต่างก็เจอแต่น้ำด้วยกันทั้งหมด ศูนย์พักพิงชั่วคราว ยิมเนเซียม 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แห่งนี้จึงกลายเป็นจุดแจกจ่ายของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้ ด้วยการจัดระบบรับบริจาค-แจกจ่ายสิ่งของ รวมถึงมีอาหารไว้คอยบริการผู้พักพิงที่หลากหลายและครบถ้วนจากการสนับสนุนของภาครัฐและภาคเอกชน
“หน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของศูนย์พักพิงแห่งนี้ก็คือส่งต่อความช่วยเหลือไปยังศูนย์พักพิง และผู้ประสบภัยที่เดือดร้อนกันเป็นวงกว้างในย่านนี้ หลังจากเราไม่สามารถรับผู้ประสบภัยเพิ่ม” กำพล รุจิวิชชญ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผอ.ศูนย์พักพิงฯเล่าให้ฟัง
กำพลบอกว่าด้วยปริมาณของกิน ของใช้ และอาสาสมัครที่มากขนาดนี้ทำให้สามารถจัดระบบของเข้า-ออกให้กับผู้คนโดยรอบได้ในปริมาณที่มากกว่าศูนย์อื่นโดยรอบ และธรรมศาสตร์เองก็อ้าแขนรับทุกคนที่เข้ามาโดยไม่ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน แต่อยู่ภายใต้วงเล็บที่ว่า “ถ้าน้ำไม่ท่วม”
วันนี้ “ปิยรัตน์ นนทชัย” วัย 43 ปี ประธานชุมชนท่าใหญ่พัฒนา ซึ่งอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินทางมายังศูนย์พักพิงแห่งนี้ เพื่อขอถุงยังชีพจำนวน 100 ชุด เพื่อเข้าไปแจกจ่ายให้กับ 150 ครัวเรือนในชุมชนของเธอ ที่ถูกน้ำท่วมติดต่อมาเป็นสัปดาห์ที่ 2 และเมื่อน้ำท่วม “นิคมฯนวนคร” อย่างเต็มรูปแบบ ก็ยิ่งทำให้ชุมชนท่าใหญ่พัฒนาถูกตัดขาดจากโลกภายนอกมากขึ้น และนั่นทำให้เธอตัดสินใจมาขอความช่วยเหลือจากศูนย์พักพิงแห่งนี้
“พอเขาพยายามปล่อยน้ำเพื่อรักษานวนคร น้ำในชุมชนก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนมาอยู่ที่ระดับอก จะออกไปไหน จะทำอะไรก็ลำบาก ยิ่งอยู่ลึกเข้าไปในชุมชน ยิ่งทำให้การช่วยเหลือที่มาผ่าน “ถุงยังชีพ” ของทั้งรัฐและเอกชนไม่เคยเข้ามาถึงที่พักเราสักครั้ง” ปิยรัตน์เล่าให้ฟัง
ปิยรัตน์บอกว่าที่ออกมายังธรรมศาสตร์ ไม่ได้เป็นเพราะตัวเธอเอง แต่เป็นเพราะคนแก่ หรือเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่จำนวนมากในชุมชน แต่เนื่องจากต้องทนเห็นคนแก่ และเด็กนั่งทอดหายใจอยู่ริมหน้าต่าง หรือบนขื่อบ้านไม่ไหว จึงต้องออกมาช่วยคนอื่น ๆ ในที่สุด
นอกจากถุงยังชีพแล้ว ปิยรัตน์ยังร้องขอเรือสำหรับพายเข้าไปในชุมชน เนื่องจากวันนี้ 150 ครัวเรือน ได้เรือจากศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ศปภ.) เพียงลำเดียว และเมื่อร้องถามกับอาสาสมัครก็ได้รับคำตอบว่าทั้งศูนย์พักพิงฯที่ธรรมศาสตร์มีเรือเพียง 3 ลำเท่านั้น
ปิยรัตน์เล่าให้ฟังว่า เรื่อง “เรือ” กลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ประสบภัยแถบนี้ ที่แม้ว่าน้ำจะไม่ได้ท่วมมาหลายสัปดาห์เหมือนที่พระนครศรีอยุธยา แต่ก็เริ่มมีพ่อค้าหัวใสพายเรือเพื่อให้บริการในพื้นที่น้ำท่วมในราคาแพงถึงเทียวละร้อยถึงสองร้อยบาทแล้ว แม้จะเป็นระยะทางสั้น ๆ เพียง 10-20 เมตรเท่านั้น
ในวันนี้ ปิยรัตน์ได้ถุงยังชีพ 100 ถุงกลับไปแจกจ่ายให้กับคนอื่น ๆ ในชุมชน แต่ “เรือ” ที่เธอต้องการวันนี้ก็ยังคงเป็นเพียงความหวังต่อไป ซึ่งเธอก็บอกว่าจะมาที่ธรรมศาสตร์นี้เรื่อยๆ เพราะหากศูนย์พักพิงฯไม่มีเรือให้ แต่ถ้าได้เจอสื่อมวลชนบ้าง ก็อาจเรียกร้องผ่านทีวีและอาจเข้าไปนำเสนอข่าวภายในชุมชนเธอบ้าง และอาจทำให้ได้ “เรือ” มาในที่สุด
ถัดจากปิยรัตน์ไปไม่ไกลนัก “จำปี กลิ่นสมภาร” พนักงานโรงงานแห่งหนึ่งในนิคมฯนวนคร กำลังนั่งทานส้มตำ ไก่ย่างที่มีบริษัทเอกชนใจดีมาทำให้ พร้อมกับนั่งสนทนากับคนอื่น ๆ อย่างอารมณ์ดี
วันนี้เป็นวันแรกที่จำปีรู้ชะตากรรมว่าไม่มีงานทำโดยสมบูรณ์แบบ เนื่องจากบริษัทผลิตฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่อยู่ในนิคมฯนวนครตกอยู่ในสภาพจมน้ำโดยสิ้นเชิง ซึงแม้เธอจะเครียดและยังไม่รู้อนาคตว่าจะไปทางไหน แต่ก็รู้สึกดีที่อย่างน้อยยังมีศูนย์พักพิง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แห่งนี้ให้พึ่งได้บ้าง
ที่พักของจำปีอยู่ไม่ไกลจากตลาดไท และเป็นเพียงห้องเช่าเล็ก ๆ อย่างที่สาวโรงงานชอบอยู่กันเท่านั้น โชคร้ายที่ห้องพักของเธออยู่บริเวณชั้น 1 ทำให้น้ำท่วมเข้ามาถึงเอว สิ่งที่เธอทำได้ในวันนี้ก็คือเอาถังน้ำแข็งวางขนาดใหญ่วางกับพื้น และเอาฟูกซ้อนอีกชั้นหนึ่งเพื่อนอนบนนั้น เนื่องจากไม่มีที่ไปจริง ๆ ส่วนห้องน้ำนั้น จำปีบอกว่าไปอาศัยห้องน้ำของห้างโลตัส สาขานวนคร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องเช่าเธอมากเอา และในช่วงกลางวัน เมื่อไม่มีอะไรทำ เธอก็เดินจากหอเธอมาที่ศูนย์พักพิงฯแห่งนี้ เพราะอย่างน้อยก็มีข้าวกิน และได้เจอเพื่อนใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น
“โรงงานเขาประกาศให้หยุดงานตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา และโชคร้ายที่เขาก็ยังไม่ได้จ่ายค่าจ้างงวดสุดท้าย เราเลยเหลือเงินติดตัวอยู่แค่ 500 บาท กลับบ้านก็ไม่ได้ ไปไหนก็ไม่ได้เลยเลือกที่จะมาพึ่งธรรมศาสตร์ แทนที่จะอยู่ที่ห้อง นั่งมองน้ำกับเพดานทั้งวัน” จำปีเล่าให้ฟัง
แม้ธรรมศาสตร์จะไม่เปิดรับคนเข้ามาพักเพิ่มเติมแล้ว แต่ยังมีที่ว่างสำหรับคนที่ไม่มีอาหาร หรือเครื่องอุปโภคบริโภคอย่างเขาอีกมาก แต่เธอก็ยังไม่รู้ว่า สักวันหนึ่งศูนย์พักพิงแห่งนี้จะโดนน้ำท่วมหรือไม่ และห้องพักที่เธออยู่ทุกวันนี้ ระดับน้ำจะสูงขึ้นอีกเมื่อใด
จำปีบ่นให้ฟังว่าตอนนี้ข้าวของอะไรก็แพง ไม่ว่าจะเป็นค่าเรือ ค่าอาหาร หรือแม้กระทั่งน้ำดื่มบรรจุขวด ที่เคยซื้อได้ในราคาขวดละ 5-6 บาท ขณะนี้ราคาสูงถึงขวดละ 10 บาท ทำให้จำปีต้องประหยัดอย่างมาก ซึ่งเธอก็โทรไปขอถุงยังชีพจากศปภ. เป็นสิบครั้งแล้ว และทิ้งที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำไว้ด้วย แต่ก็ไม่เคยได้รับการติดต่อกลับ
วันนี้เขายังคงรู้สึกเคว้งคว้างอยู่ เมื่อไม่รู้สถานภาพของตัวเองว่า “ถูกเลิกจ้าง” แล้วหรือไม่ หรือจะได้รับเงินชดเชยจำนวนเท่าใด ซึ่งคงเป็นสภาพเดียวกับแรงงานอีกหลายแสนคนที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบากเช่นเดียวกัน
จำปีทวงถามไปถึง “เงินประกันสังคม” ที่รัฐบังคับให้เธอจ่ายทุกเดือนว่า ทำอย่างไรถึงจะได้เงินส่วนนี้ไปใช้บ้างในยามที่มีปัญหาแบบนี้ เพราะอายุงานเธอจนถึงวันนี้ก็ไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้ว น่าจะนำเงินออกมาช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายเธอได้บ้าง ในวันที่เธอเรียกว่า “ไม่รู้ว่าเรื่องแย่ ๆ แบบนี้ จะต้องเดินต่อไปอีกนานเท่าใด”
“แต่เราก็ต้องทำงาน ก็ต้องดิ้นรนต่อไป ไม่ว่าจะเป็นยังไงต่อ” จำปีทิ้งท้าย ก่อนขอตัวกลับก่อนเนื่องจากมิจฉาชีพในพื้นที่ค่อนข้างชุกชุมในช่วงค่ำ
ไม่มีใครรู้ว่าทีสุดแล้วศูนย์พักพิง ที่ถูกล้อมรอบด้วยปริมาณน้ำมหาศาลจะถูกน้ำท่วมทำลายลงเมื่อใด แต่คงต้องมีแผนการอะไรสักอย่างจากรัฐบาลออกมาบ้าง เพราะไม่เพียงแต่ 2 ชีวิตนี้ที่จะได้รับผลกระทบเท่านั้น แต่หมายถึงคนอีกนับแสน ที่จะไม่ได้รับ “ถุงยังชีพ” ไว้ดำรงชีวิตต่อไป


