เตือนสะพานลอย-ทางด่วนเสี่ยงถล่ม
นักวิชาการเตือนรัฐเร่งสำรวจสะพาน-ทางด่วนทั่วกรุง หวั่นถล่มจากแผ่นดินไหว จี้เจ้าของตึกเก่าเสริมความแข็งแรงอาคาร
นักวิชาการเตือนรัฐเร่งสำรวจสะพาน-ทางด่วนทั่วกรุง หวั่นถล่มจากแผ่นดินไหว จี้เจ้าของตึกเก่าเสริมความแข็งแรงอาคาร
นายอมร พิมานมาศ ประธานคณะอนุกรรมการวิศวกรรมโครงสร้างและสะพาน วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า เหตุแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 6.7 ริกเตอร์ ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่มีจุดศูนย์ศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศพม่าและเกิดแรงสั่นสะเทือนถึงพื้นที่ภาคเหนือและอาคารสูงของ กทม. มีโอกาสเกิดขึ้นได้อีกทุกเมื่อ โดยสถิติในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงระดับเดียวกันถึงกว่า 30 ครั้ง หรือเฉลี่ยปีะละประมาณ 1 ครั้ง แต่ไม่สามารถทำนายได้ว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อใด ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือหมอดูก็ตาม ดังนั้นจึงไม่อาจชะล่าใจได้และควรเตรียมการรับมือด้วยการปรับปรุงแก้ไขความมั่นคงแข็งแรงของอาคารให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย
"สิ่งที่น่าเป็นห่วงนอกเหนือจากอาคารถล่มก็คือ ทางด่วนและสะพานต่างๆ มีโอกาสที่คานจะหล่นจากหัวเสาได้ง่าย เพราะพื้นที่การตั้งวางมีระยะหมิ่นเหม่มาก เมื่อเกิดแผ่นดินไหวก็อาจเคลื่อนตัวและหล่นลงมาได้ สะพานและทางด่วนเหล่านี้แม้จะแข็งแรงก็จริง แต่ก็ยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานรองรับที่ชัดเจน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งสำรวจตรวจสอบ เพราะการเกิดแผ่นดินไหวทำให้มีผู้เสียชีวิตเพียง 50% เท่านั้น แต่อีก 50% เสียชีวิตเพราะถูกสิ่งของหล่นทับ" นายอมร กล่าว
นายอมร กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะมีกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคารและพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ.2550 แต่ก็ไม่มีผลควบคุมย้อนหลังถึงอาคารเก่าที่ก่อสร้างก่อนปี 2550 ฉะนั้นเจ้าของอาคารควรให้ความสำคัญในการปรับปรุงแก้ไขอาคารจะช่วยลดความรุนแรงของภัยพิบัติลงได้ โดยใช้งบลงทุนเพียงแค่ 3-5% ของการก่อสร้างอาคารเท่านั้น ใช้วิธีเสริมปลอกเหล็กเพิ่มเติมที่โคนเสาหรือหุ้มโคนเสาด้วยแผ่นคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเหตุแผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่นที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนน้อย เพราะตัวอาคารมีการออกแบบให้มีความเหนียวเป็นพิเศษ สามารถโยกตัวได้โดยไม่ถล่ม
ทั้งนี้ ลักษณะของอาคารที่มีความเสี่ยง ได้แก่ ตึกแถว ซึ่งใช้เสาขนาดเล็ก แต่คานใหญ่ อาคารจอดรถที่มีการแบ่งซอยพื้นที่จอดหลายชั้นโดยไม่มีคานรองรับ อาคารสูงที่ผนังชั้นล่างเปิดโล่งจะทำให้เสาอาคารมีโอกาสทรุดตัวได้ง่าย รวมทั้งบ้านเดี่ยวหรืออาคารที่ใช้ชิ้นส่วนสำเร็จในการก่อสร้าง ซึ่งไม่สามารถมั่นใจได้ว่ารอยต่อของแต่ละชิ้นส่วนจะแนบสนิทหรือแข็งแรงเพียงพอหรือไม่ นอกจากนี้ยังรวมถึงตึกสูงที่มีการออกแบบที่ผิดแปลกทำให้มีความเสี่ยงที่โครงสร้างอาคารจะถล่มได้
นายอมรกล่าวว่า ขอเรียกร้องให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง 2550 ใน 4 ประเด็นให้ครอบคลุมอาคารเสี่ยงทุกประเภท ได้แก่ 1.อาคาร 1-2 ชั้น ที่มีความสูงตั้งแต่ 3 เมตรขึ้นไป โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้รอยเลื่อนแผ่นดินไหวทางภาคเหนือและภาคตะวันตก 2.กำหนดพื้นที่ซึ่งเป็นดินอ่อน ปัจจุบันมีเพียง 5 จังหวัดคือ กทม.และปริมณฑล แต่ควรขยายให้ครอบคลุม 14 จังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดที่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำบางปะกง ท่าจีน และเจ้าพระยา 3.เพิ่มการควบคุมอาคารประเภทโรงงานอุตสาหกรรม โรงงานสารเคมีหรือวัตถุไวไฟ รวมทั้งสะพานและทางด่วนต่างๆ และ 4.ขยายขอบเขตการควบคุมอาคารเสี่ยงบริเวณภาคอีสานตอนบน ได้แก่ หนองคาย อุดรธานี และสกลนคร ซึ่งอยู่ใกล้รอยเลื่อนแผ่นดินไหวในประเทศลาว
ในอนาคตควรมีการตั้งหน่วยงานเฉพาะในการควบคุมและตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของอาคารเก่าเพื่อรับมือภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันภาคเอกชนมีการปรับปรุงแก้ไขอาคารในลักษณะต่างคนต่างทำ ทำให้การตรวจสอบยังไม่ทั่วถึง
ด้านนายพินิต เลิศอุดมธนา ผู้อำนวยการกองควบคุมอาคาร สำนักการโยธา กทม. กล่าวว่า แม้รัฐจะมีการออกกฎกระทรวงที่รัดกุมแค่ไหนก็ตาม แต่หากทำไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ โดยปัญหาสำคัญคือจรรยาบรรณทางวิชาชีพของวิศวกรผู้ออกแบบอาคาร ส่งผลให้มาตรการควบคุมของรัฐล้มเหลว
"ทุกวันนี้เกิดปัญหาวิศวกรยื่นแบบขออนุญาตก่อสร้างอาคารไม่ตรงตามความเป็นจริง โดยเอาแบบอื่นมาสวมแทน อีกทั้งมีการเซ็นชื่อในใบประจำตัววิศวกรแทนกัน นอกจากนี้ยังมีปัญหากระบวนการตรวจสอบ เนื่องจากเจ้าพนักงานไม่เพียงพอ" นายพินิต กล่าว
นายพินิต กล่าวว่า ทางสำนักการโยธาอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อจูงใจให้เจ้าของอาคารเก่ามายื่นเรื่องขอตรวจสอบอาคาร เช่น มาตรการด้านภาษี โดยออกข้อบัญญัติลดหย่อนภาษีให้กับผู้ประกอบการที่มีการเสริมความมั่นคงอาคาร เป็นต้น
ขณะที่ นายเป็นหนึ่ง วานิชชัย อาจารย์สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) หัวหน้าโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย กล่าวว่า กทม.มีสภาพดินอ่อน หากเกิดแผ่นดินไหวจะขยายความรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ส่งผลกระทบต่ออาคารสูงอย่างเห็นได้ชัด ลักษณะเดียวกับเหตุแผ่นดินไหวที่กรุงเม็กซิโกซิตี้ เมื่อปี 2528 ซึ่งมีสภาพดินอ่อนเหมือนกัน แม้จะอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว แต่ความเสียหายก็มีความรุนแรง
ทั้งนี้ จากการทดลองโมเดลการสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวขนาด 5.7 ริกเตอร์ มีจุดศูนย์กลางห่างจาก จ.เชียงใหม่ 7 กิโลเมตร จะให้ จ.เชียงใหม่ ได้รับความเสียหายรุนแรงเทียบเท่ากับสึนามิ จะมีผู้เสียชีวิตถึง 8,000 คน มูลค่าความเสียหาย 150,000 ล้านบาท และจะทำให้เมืองเชียงใหม่กลายเป็นอัมพาตนานถึง 2-3 ปี อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโมเดลแผ่นดินไหว กทม. เพื่อเตรียมการรับมือในอนาคต


