ชวนนท์ออกแถลงการณ์โต้สุรเกียรติ์
"ชวนนท์" ออกแถลงการณ์โต้ "สุรเกียรต์ิ" ยัน เกาะกูดเป็นของไทยชัดตั้งแต่ก่อนมีMOU44หนุน
"ชวนนท์" ออกแถลงการณ์โต้ "สุรเกียรต์ิ" ยัน เกาะกูดเป็นของไทยชัดตั้งแต่ก่อนมีMOU44หนุน
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกแถลงการณ์ ชี้แจงกรณีแถลงการณ์ของ นายสุรเกียรติ เสถียรไทย อดีต รมว.ต่างประเทศ เรื่องการลงนามใน MOU 2544 รับรอง “เกาะกูด” ของไทย ซึ่งมีความเคลื่อนเคลื่อนในข้อเท็จจริง รวมทั้งไม่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ จึงขอชี้แจงต่อพี่น้องประชาชนเพื่อความกระจ่างดังต่อไปนี้
1. การเจรจาเพื่อแบ่งเขตและแบ่งปันผลประโยชน์ทางทะเลนั้น แม้จะมีการเจรจาติดต่อกันมาเป็นเวลานานแล้วจริง และไม่ใช่เริ่มต้นที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่คำถามก็คือ การเจรจาต่อเนื่องยาวนานกว่า 25 ปี ยังมีประเด็นที่ยังตกลงกันไม่ได้ โดยเฉพาะเส้นเขตทางทะเลของกัมพูชาที่ลากผ่านเกาะกูด โดยไม่มีพื้นฐานทางกฎหมาย แล้วเหตุใดรัฐบาลที่เข้ามาทำหน้าที่เพียง 5 เดือนจึงมั่นใจ และกล้าที่จะลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยว่าด้วยพื้นที่ที่ทั้งสองประเทศอ้างสิทธิไหล่ทวีปซ้อนกัน หรือ MOU 2544 ช่วงเวลา 6 เดือนของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณได้รับข้อมูลใหม่อะไรจึงทำให้การเจรจาลงตัว หลังจากการถกเถียงกันนับ 10 ปี
2. ข้อกล่าวอ้างที่ว่า MOU 2544 ทำให้กัมพูชายอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทย นับเป็นการสร้างความเสียเปรียบและเป็นข้ออ้างที่ผิดทั้งในข้อเท็จจริงทางด้านประวัติศาสตร์ เพราะเกาะกูดนั้นเป็นของประเทศไทยชัดเจน ตามที่ได้มีการระบุไว้ใน “หนังสือสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม กับเปรสิเดนต์แห่งริปับลิกฝรั่งเสศ” 23 มีนาคม ร.ศ.125 พ.ศ.2449 /50” ในข้อ 2 ซึ่งระบุ “รัฐบาลฝรั่งเสศ ยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้ายแลเมืองตราษกับทั้งเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยามตามกำหนดเขตรแดนดังว่าไว้ในข้อ 2 ของสัญญาว่าด้วยปักปันเขตรแดนดังกล่าวมาแล้ว” ที่สำคัญที่สุดในปี 2513 ประเทศไทยได้ประกาศเส้นฐานตรง (Straight baseline) บริเวณเกาะกูด ซึ่งเป็นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งอยู่บนพื้นฐานทางกฎหมายทางทะเลยืนยันว่า เกาะกูดอยู่ภายใต้อธิปไตยและน่านน้ำของประเทศไทยอย่างชัดเจน
ต่อมา ประเทศไทยได้ประกาศเส้นไหล่ทวีปทางทะเลปี ดังนั้น ข้ออ้างที่ว่าการมี MOU 2544 ทำให้กัมพูชายอมรับว่า อธิปไตยเหนือเกาะกูดเป็นของไทยนั้น จึงเป็นพื้นฐานที่ผิดจากข้อเท็จจริงทางกฎหมายและเป็นการสร้างเงื่อนไขที่ปราศจากข้อเท็จจริงและทำให้ประเทศต้องเสียเปรียบโดยไม่จำเป็น และต้องทำให้ประเทศไทยยอมรับเส้นเขตทางทะเลของกัมพูชาซึ่งไม่มีพื้นฐานทางกฎหมาย และก่อให้เกิดความเสียหายกับประเทศ รวมทั้งเสียผลประโยชน์ทางทะเลซึ่งเป็นของไทยชัดเจนแต่กลับต้องมาพัฒนาร่วมกันกับกัมพูชา และการยกเลิก MOU ก็ไม่เป็นเหตุผลใดเลยที่กัมพูชาจะมีสิทธิอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูด
3. นอกจากนี้ เมื่อเกาะกูดเป็นของไทย ตามกฎหมายระหว่างประเทศ เกาะกูดย่อมมีเขตทางทะเลเป็นของตนเอง การที่ประเทศไทยประกาศเส้นฐานตรงบริเวณที่ 1 ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2513 เป็นผลให้น่านน้ำภายในเส้นฐานตรงเป็นน่านน้ำภายในของประเทศไทยและบริเวณที่ถัดออกมาจากเส้นฐานตรงเป็นทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ดังนั้น การทำ MOU 2544 ซึ่งมีแผนที่แนบท้าย จึงไม่สอดคล้องประกาศเส้นฐานตรงของไทย และอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในขณะนั้น กล่าวคือมาตรา 224 ที่ระบุว่า “หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามสัญญา ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา” แม้ MOU จะมีข้อบทว่าในข้อ 5 ว่า “จะไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิทางทะเลของภาคี” ก็ตาม เนื่องจาก การยอมรับแผนที่ใน MOU อาจมีนัยเปลี่ยนแปลงอาณาเขตหรือเขตอำนาจแห่งรัฐของไทยได้ จึงไม่น่ายอมรับและเป็นประโยชน์กับไทย
4. ผมยืนยันว่าไม่เคยคิดจะนำเรื่องผลประโยชน์ของชาติมาเป็นประเด็นการเมืองให้เกิดความเสียหาย และมีความตั้งใจจะทำงานการเมืองด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อให้ประโยชน์ตกอยู่กับพี่น้องประชาชน แต่ในกรณี MOU 2544 นั้น ผมไม่สามารถหาเหตุผลใด ๆ ได้เลย ในการที่ประเทศไทยจะต้องไปลงนามยอมรับเส้นเขตแดนทางทะเลของกัมพูชาซึ่งไม่มีพื้นฐานทางกฎหมายและที่สำคัญที่สุดก็คือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศไทยอย่างมหาศาล จึงเป็นหน้าที่ของผมในฐานะคนไทยที่จะต้องตั้งคำถามและปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไว้มิใช่หรือ
5. ผมสนับสนุนการเจรจาแบ่งเขตหรือแบ่งปันผลประโยชน์ทางทะเล เพื่อประโยชน์และความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม และความถูกต้องตามหลักกฎหมาย มิใช่เร่งรัดให้เกิดการเจรจา แต่ประเทศกลับต้องเสียผลประโยชน์ที่ควรจะได้ และต้องมาแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับกัมพูชาโดยไม่ถูกต้องเพราะในอนาคต หากมีการพัฒนาและแบ่งเขตในลักษณะนี้แล้ว มีการนำทรัพยากรธรรมชาติไปใช้โดยกัมพูชา แล้วเมื่อมีการแบ่งเขตทางทะเลในภายหลังในพื้นที่ดังกล่าวโดยทรัพยากรธรรมชาติอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย ผู้ใดจะรับผิดชอบความเสียหายของประเทศ


