นโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์พุ่งเป้า...ประชาต้องนิยม
16ส.ค.นี้ คณะรัฐมนตรีรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะมีการพิจารณาร่างนโยบายรัฐบาลที่จะประกาศต่อรัฐสภา
16ส.ค.นี้ คณะรัฐมนตรีรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะมีการพิจารณาร่างนโยบายรัฐบาลที่จะประกาศต่อรัฐสภา
โดย...ทีมข่าวการเมือง
16ส.ค.นี้ คณะรัฐมนตรีรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะมีการพิจารณาร่างนโยบายรัฐบาลที่จะประกาศต่อรัฐสภาเพื่อเดินหน้าสร้างความสุขให้กับประชาชนคนไทย
กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานยกร่างนโยบายของรัฐบาล เปิดเผยชัดว่า ได้จัดทำร่างนโยบายเสร็จสิ้นแล้ว โดยในเวลา 15.30 น. ของวันที่ 15 ส.ค. นายกรัฐมนตรีได้นำร่างนโยบายไปหารือร่วมกับรัฐมนตรีของพรรคทั้งหมดและหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้ง ก่อนนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ในวันที่ 16 ส.ค.
หน้าตาของร่างนโยบายของรัฐบาลจำนวน 30 กว่าหน้ากระดาษ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1.นโยบายเร่งด่วน และ 2.นโยบายของรัฐบาลในกรอบระยะเวลา 4 ปี
“กิตติรัตน์” มั่นใจขนาดระบุว่า นโยบายเร่งด่วนที่กำหนดไว้เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ทันที หากทำช้ากว่าครึ่งปีค่อนปีมันก็ถูกคาดหวังไว้
ลงว่า กิตติรัตน์ กล่าวทีเล่นทีจริง ว่า “ถ้า 6 เดือนไม่เห็นผล สงสัยคงต้องเปลี่ยนรองนายกฯ แหงๆ” นโยบายชุดนี้ต้องมีดี
เมื่อสืบค้นลงไปในเนื้อหาที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำไปประชุมร่วมกับคณะทำงาน จัดทำร่างนโยบายรัฐบาล ที่มี ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย นั้นลงลึกกว่านี้มาก
โครงหลักได้มีการจำแนกนโยบายออกเป็น 8 ด้าน คล้ายๆ กับรัฐบาลที่แล้ว แต่นโยบายเร่งด่วนที่จะเร่งดำเนินการในปีแรกมีหลายเรื่อง แต่ละเรื่องพิเคราะห์แล้วจะเห็นว่ามีนัยและผลสัมฤทธิ์ที่คาดไม่ถึง...
หนึ่ง นโยบายสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย จะเน้นเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันของประชาชนในชาติให้เกิดความสมัครสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน
สนับสนุนให้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อแนวทางปรองดองแห่งชาติ ทำงานอย่างอิสระ ได้รับความร่วมมือทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการตรวจสอบความรุนแรงทางการเมือง การละเมิดสิทธิมนุษยชน การสูญเสียชีวิต บาดเจ็บในช่วงการชุมนุมทางการเมืองระหว่างเดือน เม.ย. และเดือน พ.ค. 2553
แค่นโยบายแรก ถ้ารัฐบาลนี้ทำเต็มมือ คอการเมืองก็ซี้ดปากกันได้ว่า มันพ่ะย่ะค่ะ
เร่งรัดปราบปรามการค้ายาเสพติด ปราบปรามผู้มีอิทธิพล อบายมุขและสิ่งยั่วยุเยาวชน ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่นายกฯ ได้ระบุก่อนหน้านี้ว่าจะทำอย่างละมุนละม่อม
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันในภาครัฐอย่างจริงจัง
ทั้งสามข้อนั้นอาจดูเป็นนามธรรมบ้าง แต่จะมีแผนตามมาจากคำอธิบายในรายละเอียด
แต่ที่ถือว่าจะมีรูปธรรมประชาชนจับต้องได้ เพราะนโยบายเขียนไว้ชัดว่ารัฐบาลนี้มีนโยบายจะแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมัน เช่น การยกเลิกการจัดเก็บเงินสมทบกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการชั่วคราว การดูแลราคาสินค้าอุปโภค บริโภค และราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
คำว่าทำทันทีและต้องเห็นผลสัมฤทธิ์ที่ “กิตติรัตน์” เปิดเผยออกมาจึงอยู่ตรงนี้
เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน บนพื้นฐานสนธิสัญญาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเร่งแก้ปัญหากระทบกระทั่งตามแนวพรมแดนผ่านกระบวนการทางการทูต
ส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว โดยประกาศให้ปี 2554-2555
ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งทุน เช่น การเพิ่มเงินกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอีกแห่งละ 1 ล้านบาท การจัดตั้งกองทุนสตรี โดยมีวงเงินเฉลี่ย 100 ล้านบาท
จัดตั้งกองทุนตั้งตัวได้ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท ต่อสถาบันการศึกษาของรัฐที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้เกิดขึ้นเป็นการสร้างเถ้าแก่น้อย
จัดให้มีบัตรเครดิตพลังงาน สำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างให้เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายน้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติที่ใช้จริงต่อเดือน
นี่คือนโยบายที่โดนใจบรรดาคนหาเช้ากินค่ำที่สนับสนุนชัดเจนที่สุด
นโยบายอีกหนึ่งที่โจมตีไปยังหัวใจของคนไทยทั่วประเทศ คือ การปรับเพิ่มเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุ เป็นสวัสดิการของรัฐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายยังชีพของผู้สูงอายุ โดยผู้สูงอายุที่มีอายุ 6069 ปี จะได้รับเงินหัวละ 600 บาท อายุ 70-79 ปี ได้รับ 700 บาท อายุ 80-89 ได้รับ 800 บาท และอายุ 90 ปีขึ้นไป ได้รับเงินเดือน 1,000 บาท
ไม่ต้องประเมินภาพอะไรก็พอเห็นเค้าของความหวังและความหมายชัดเจนว่า ประชาธิปัตย์จ่ายหัวละ 500 บาทต่อเดือน แต่เพื่อไทยใจใหญ่แจกมากกว่า ไม่ธรรมดาๆ
ยังไม่จบ นโยบายรัฐบาลชุดนี้ยังลงลึกไปในรายละเอียดชนิดที่คนในสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ถึงกับเอามือกุมขมับ เพราะไม่คุ้นเคย
ในอดีตเคยเขียนแต่ภาพใหญ่ แต่รอบนี้นโยบายรัฐบาลนั้นไซร้ ลงลึกไปในแนวปฏิบัติชัดเจนกว่าครั้งไหน
ขนาดว่ามีการกำหนดเป็นนโยบายชัดว่า จะจัดให้มีการพักหนี้ครัวเรือนของเกษตรกรรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยที่ต่ำกว่า 5 แสนบาท อย่างน้อย 3 ปี จะมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้แก่ผู้ที่เป็นหนี้เกิน 5 แสนบาท แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท รวมทั้งจัดทำแผนฟื้นฟูอาชีพและปรับโครงสร้างการผลิตอย่างครบวงจร
ส่วนนโยบายที่เล่นกับคนส่วนใหญ่ในประเทศนั้นก็ชัดเจนว่า ไม่มีการทิ้งคำสัญญา
เมื่อมีการกำหนดไว้ในนโยบายด้านการเกษตรว่าจะยกระดับราคาสินค้าเกษตร และให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งทุน โดยดูแลราคาสินค้าเกษตรให้มีเสถียรภาพเป็นไปตามกลไกของตลาดโลก และสร้างผลตอบแทนที่เป็นธรรมต่อเกษตรกร นำระบบจำนำสินค้าเกษตรมาใช้ในการสร้างความมั่นคงด้านรายได้ เพื่อจัดทำระบบบัตรเครดิตสำหรับเกษตรกร พร้อมผลักดันราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญให้รายได้สูง โดยใช้วิธีบริหารจัดการทางการตลาดและกลไกตลาดซื้อขายล่วงหน้า
นี่คือพัฒนาการของระบบจำนำสินค้าเกษตรที่อาจจะมีการนำไปสู่การกำหนดราคาสินค้าที่ “ตลาดกรุงเทพฯ” ไม่ใช่นิวยอร์ก ฮ่องกง สิงคโปร์ อีกต่อไป
ยังไม่จบ นโยบายที่โดนใจชาวประชาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้โฟกัสลงไปในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ให้มีศักยภาพอย่างยั่งยืน ยกระดับมาตรฐานราคาสินค้าและบริหาร การเข้าถึงแหล่งทุนและการตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ขนาดว่าจะส่งเสริมให้มีศูนย์กระจายและแสดงสินค้าถาวรในภูมิภาคและในเมืองท่องเที่ยวหลักที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวและการส่งออกไปไกลขนาดนั้น
พัฒนาระบบประกันสุขภาพ ปรับปรุงโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค
จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่นักเรียน โดยเริ่มดำเนินการในโรงเรียนนำร่องระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในปีการศึกษา 2555
ที่ร้ายกว่านั้นคือการเร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมือง ที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 291 ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นอิสระยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ถ้าพิจารณาจากกรอบของร่างนโยบาย จะพบว่ามีเป้าผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราสูงอย่างมีเสถียรภาพ และมีการกระจายรายได้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ
จะเห็นได้ชัดว่า นโยบายส่วนใหญ่จะเน้นลงไปที่ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน การปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ
นโยบายสร้างรายได้ มีแค่การส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งภายในและต่างประเทศ ให้มีรายได้จากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 2 เท่าในเวลา 5 ปี กับการขยายบทบาทให้ธุรกิจการเกษตรและอาหารซึ่งเป็นแหล่งรายได้และการจ้างงานในประเทศ ไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าอาหารคุณภาพสูง
สุดท้าย คือ พัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางตลาดซื้อขายล่วงหน้า สินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ข้าว น้ำตาล มันสำปะหลัง และอื่นๆ
ด้านการค้าการลงทุน เขียนไปกว้างๆ แค่ว่าจะส่งเสริมนโยบายแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ป้องกันการผูกขาดตัดตอน แก้ไขปรับปรุงกฎหมายต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภค สร้างความมั่นใจให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยปรับมาตรการบริหารการนำเข้าเพื่อปิดกั้นการค้าที่ไม่เป็นธรรม การทุ่มตลาด
ขณะที่นโยบายโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาระบบเพื่อขนส่งมวลชนนั้นก็ชัดว่าเป็นแผนระยะยาว 4 ปี ที่จะมีการบริหารจัดการระบบขนส่งสินค้าและบริการ พัฒนารถไฟทางคู่รางมาตรฐาน ศึกษาพัฒนารถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา กรุงเทพฯ-หัวหิน
นี่คือภาพนโยบายที่มุ่งเน้นยิงกระสุนลงไปที่ประชาต้องนิยม


