posttoday

ชีวิตในวัยเด็ก(2482-2500)

23 กรกฎาคม 2554

ผมเกิดเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2482 เป็นเวลาเจ็ดปีหลังจากที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ผมเกิดเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2482 เป็นเวลาเจ็ดปีหลังจากที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

โดย..ประมนต์ สุธีวงศ์ 

มาเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งใบบ้าง ค่อนใบบ้าง ตามยุคและสมัยต่อๆ มา

ห้วงเวลานั้นเป็นช่วงที่คนไทยเข้าสู่ยุคใหม่ มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวค่อนข้างมาก เป็นเวลาเดียวกันที่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ นำประเทศเยอรมนีบุกประเทศโปแลนด์ เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 อันโหดร้ายและทำลายชีวิตและทรัพย์สินไปอย่างมหาศาล

ถ้าเป็นคนถือโชคลาง ก็ต้องถือว่าเกิดมาในดวงมหาโหด แต่ในทางตรงกันข้าม อาจถือว่าเป็นโชคดี

โชคดีเพราะหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดแล้ว โลกเราถือว่ามีความสงบสุขต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันพอควร แม้จะมีสงครามขนาดใหญ่น้อยหลายครั้ง เช่น สงครามเย็นระหว่างโลกเสรี นำโดยสหรัฐอเมริกากับโลกคอมมิวนิสต์และสังคมนิยม นำโดยสหภาพโซเวียตเป็นแกน ซึ่งต่อมาภายหลังสหภาพโซเวียตก็ล่มสลายไป ทำให้ลัทธิโลกเสรีกลายเป็นระบอบหลัก ระบอบเดียวที่เหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบัน สงครามเกาหลีและสงครามเวียดนามซึ่งประเทศไทยไปมีส่วนร่วมอยู่ด้วย สงครามศาสนาของพวกหัวรุนแรง สงครามในประเทศอิรักและอัฟกานิสถาน ฯลฯ อีกทั้งมีโรคภัยร้ายๆ เกิดขึ้นหลายหน เช่น โรคเอดส์ โรคซาร์ส โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ฯลฯ แต่โรคภัยเหล่านี้ก็มีผลกระทบเฉพาะบางพื้นที่อยู่ในเขตจำกัด และไม่มีเหตุการณ์รุนแรงขนาดสงครามโลกเกิดขึ้นอีก

ชีวิตในวัยเด็ก(2482-2500)

 

จึงถือว่ามนุษย์เราในช่วง 60-70 ปีที่ผ่านมา มีชีวิตที่สงบสุขในระดับหนึ่ง มีเวลาสร้างความเจริญและความร่ำรวยเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยาวนานช่วงหนึ่ง

นี่คือพื้นฐานและฉากชีวิตคนรุ่นนี้ ซึ่งมีโอกาสและความท้าทายมากกว่ารุ่นก่อนๆ มาก

ต.บางลี่ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี คือ สถานที่ผมเกิด

เตี่ยและแม่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ที่มีรกรากอยู่สุพรรณบุรีและสมุทรสาคร ก๋งเป็นลูกคนเล็กของตระกูลพ่ออ้าย แม่งิ้ว เกิดที่ ต.ท่าช้าง อ.เดิมบางนางบวช ส่วนย่าซึ่งผมจำได้ว่ากระเดียดมาทางคนไทยมากกว่าคนจีน น่าจะเป็นคนท้องถิ่นเดียวกัน

ตระกูลพ่ออ้าย แม่งิ้ว แบ่งแยกเป็นเจ็ดสาย และใช้นามสกุลแตกต่างกันดังนี้ ศีลาเจริญ สุวรรณสถิต พานิช นิธยายน นิติสิริ และ สุธีวงศ์

ในสายสุธีวงศ์นั้น เตี่ยผมเป็นคนท่าช้าง แต่งงานกับแม่ซึ่งเป็นคน อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร แล้วยกครอบครัวมาทำมาหากินที่ ต.บางลี่ อ.สองพี่น้อง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของพวกเรา 7 พี่น้อง หญิง 5 ชาย 2 ผมเป็นคนที่ 2 รองจากพี่สาว

เตี่ยและแม่มีชื่อและนามสกุลเป็นไทยว่า นายบุญสม และนางวีรวรรณ สุธีวงศ์ แต่กับหมู่ญาติๆ และเพื่อนฝูงใช้ชื่อจีนว่า กิมย้งกิมซี้ แซ่ตั้ง ชื่อไทยคงจะใช้มาตั้งแต่สมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เพราะในใบเกิดผมมีชื่อภาษาไทยแล้ว ลูกๆ ทุกคนมีแต่ชื่อไทยตามสมัยนิยม เรียงตามลำดับดังนี้ อัมพร ประมนต์ ประสาท ยุพิน เสริมศรี เสริมรัตน์ และสุดท้องคือ เสริมศิริ

สำหรับสายสุธีวงศ์แบ่งออกเป็น 2 สายเล็ก คือ สุธีวงศ์ และ รัตนพานิช ปัจจุบันทุกๆ ปีจะมีการทำบุญระลึกถึงต้นตระกูลในเดือน ธ.ค. ที่วัดของต้นตระกูลคือ วัดท่าช้าง ต.ท่าช้าง อ.สามชุก โดยแต่ละสายจะสลับกันเป็นเจ้าภาพ ใช้เงินจากกองกลางที่มีญาติที่ฐานะดีช่วยกันบริจาคสมทบทุกๆ ปี

ในสมัยนั้นคนไทยในประเทศไทยยังมีจำนวนน้อย ประมาณสิบล้านคนเศษๆ ดังนั้นการมีลูกมากจึงไม่ใช่สิ่งผิดปกติ โดยทั่วๆ ไปครอบครัวหนึ่งจะลูก 710 คน จากท้องเดียวกันถือว่าธรรมดา สาเหตุหนึ่งที่คนนิยมมีลูกมาก เพราะอัตราการตายก่อนโตค่อนข้างสูง เพราะการแพทย์และสาธารณสุขยังไม่เจริญ

พวกที่อยู่รอดมาจนอายุ 60-70 ปี ได้ต้องถือว่าดวงแข็งและกระดูกแข็งอีกต่างหาก

อีกสาเหตุหนึ่งของการมีลูกมาก ก็เพราะได้ใช้เป็นแรงงานในการช่วยกันทำมาหากิน เพราะประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไร่ ชาวนา หรือชาวสวน ดังนั้นการช่วยกันคนละไม้ละมือจึงเป็นเรื่องสำคัญ ในระยะนั้นรัฐบาลคงจะส่งเสริมให้ครอบครัวมีลูกมาก ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ประชากรจะล้นโลก ต้องรณรงค์ให้มีการคุมกำเนิด ผมจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ตอนที่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นหัวหน้ารัฐบาล ท่านมีคำขวัญส่งเสริมการสร้างประชากร เพื่อฉลองวันที่ประเทศไทยมีประชากรถึง 18 ล้านคน ว่า “สิบแปดล้านคนไทย....ภาคภูมิในใจ....ไชโย” หรืออะไรทำนองนั้น

ช่วงเด็กๆ ตอนที่สงครามโลกเลิกใหม่ๆ ผมจำความอะไรไม่ได้มากนัก ช่วงนั้นแต่ละประเทศก็พยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจและฐานะของตนเองกันอย่างเร่งด่วน ประเทศที่ชนะสงครามถึงแม้จะบอบช้ำไม่ต่างกับผู้แพ้ แต่ก็มีฐานะที่ดีกว่าที่ไม่ต้องชดใช้ความเสียหายของสงครามที่เกิดขึ้น และได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความเสียหายจากสงครามน้อยที่สุด

จากนั้นเป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาก็ขยับขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจ และถูกวางตัวให้เป็นผู้นำสังคมประชาธิปไตยของประเทศที่นิยมการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยเรื่อยมา

เด็กๆ อย่างพวกเราก็สนุกไปวันๆ ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่จะลำบากยากเข็ญมากน้อยอย่างไร เมื่อโตขึ้นมาและได้ศึกษาประวัติศาสตร์และรับรู้จากผู้ใหญ่ถึงเหตุการณ์ต่างๆ จึงพอจะเข้าใจถึงความลำบากของชีวิตในช่วงนั้น

ความยากจนและความขัดสนของอาหารการกินและเครื่องใช้ประจำวันต่างๆ ในเวลานั้นมีอิทธิพลที่หล่อหลอมให้คนที่โตขึ้นมาในรุ่นนั้นมีความอดทน รู้จักมัธยัสถ์ และรู้จักคุณค่าของสิ่งอำนวยความสะดวกรอบๆ ตัว ซึ่งคนในสมัยนี้มีล้นเหลือและไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร

ผมเชื่อว่านี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศที่แพ้สงครามอย่างเยอรมนีและญี่ปุ่นสามารถพัฒนาตนเองกลับมาได้อย่างรวดเร็วและล้ำหน้าหลายๆ ประเทศที่มีผลกระทบจากสงครามน้อยกว่า เป็นเพราะว่าคนของสองประเทศนี้ถูกภาวะความยากจนบีบบังคับมากกว่า ทำให้มีความอดทนและมุมานะที่จะเอาชนะความยากจนและแร้นแค้นต่างๆ อย่างจริงจัง

ผมมีตัวอย่างเล็กๆ ที่จะเล่าให้ฟัง

ครั้งหนึ่งผมไปเยี่ยมเพื่อนคนไทยที่แต่งงานกับชาวเยอรมันและทำงานอยู่ที่เยอรมนี เพื่อนคนนี้เป็นหมอและมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงแล้วในขณะนั้น เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารซึ่งจัดขึ้นที่บ้านของเพื่อน เราก็รับประทานอาหารกันเป็นปกติ เมื่อเสร็จเรียบร้อย ภรรยาเขาก็เก็บโต๊ะ จานชามต่างๆ ไปล้าง แต่เธอกลับพับผ้าเช็ดปากและเช็ดมือที่ใช้ระหว่างรับประทานอาหารนั้นเรียบร้อยและไม่มีทีท่าว่าจะนำไปซักเก็บ

ผมกระซิบถามเพื่อนว่าทำไมเป็นอย่างนั้น

เพื่อนตอบว่า เป็นธรรมเนียมของที่บ้านว่า ผ้าเช็ดปากนั้นใช้ประจำตัวและใช้สำหรับ 3 มื้อของแต่ละวันก่อนจะนำไปซัก เพราะจะได้ประหยัดน้ำ นี่แสดงให้เห็นว่าเธอถูกหล่อหลอมให้มีความประหยัดจากความยากจนหลังสงคราม

ผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่โตมาในรุ่นดังกล่าว จะมีอุปนิสัยบางอย่างที่คล้ายคลึงกันนี้ ผมเองก็ยอมรับว่า มีนิสัยค่อนข้างไปในทางประหยัด ถึงขั้นที่พรรคพวกนินทาว่าขี้เหนียว เมื่อเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรแล้ว นิสัยนี้ก็ยังติดตัวมา ไม่ยอมสุรุ่ยสุร่ายกับรายจ่ายที่ไม่จำเป็น บางครั้งลูกน้องก็หาทางบ่นผ่านเพื่อนฝูงมาให้ได้ยินอยู่บ้าง หลังๆ เลยต้องประนีประนอมกับเรื่องพวกนี้เป็นบางครั้ง

ชีวิตในวัยเด็ก(2482-2500)

ประวัติศาสตร์ประเทศไทย โดยเฉพาะหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ 2475 และการเมืองในระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นน่าสนใจ ควรที่ทุกคนจะศึกษา มีเอกสารและหนังสือดีๆ ที่ค้นคว้าและเขียนโดยนักประวัติศาสตร์และนักเขียนที่เชื่อถือได้หลายๆ ฉบับที่ใช้อ้างอิงได้

น่าเสียดายที่ระบบการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ของประเทศไทยไม่เห็นความจำเป็นที่จะบรรจุหลักสูตรเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญๆ เช่นนี้ให้นักเรียนได้เรียนรู้ ไม่ปฏิเสธว่าประวัติศาสตร์ยุคสุโขทัย อยุธยา และตอนต้นของรัตนโกสินทร์มีความสำคัญ แต่ในเวลาเดียวกัน ประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่มีนัยสำคัญอย่างสูงต่ออนาคตของประเทศ ก็ควรได้รับการถ่ายทอดให้เยาวชนรุ่นหลังๆ ได้รับรู้

ถ้าเรารู้และเข้าใจเกี่ยวกับที่มาและที่ไปและเบื้องหลังของเหตุการณ์บางอย่าง เราอาจเรียนรู้และป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

ประเทศที่จะเจริญได้ต้องกล้าที่จะศึกษา วิเคราะห์ และวิจารณ์ประวัติศาสตร์ของตนเองอย่างตรงไปตรงมา (ติดตามตอนต่อไปสัปดาห์หน้า)

 

ข่าวล่าสุด

จ่อตั้ง 1 จังหวัด 1 คลินิก 'การแพทย์แม่นยำ' ถอดรหัสพันธุกรรมโรคมะเร็ง-โรคหายาก