ประเทศไทยกับ World Expo
ประเทศไทยกับการเป็นเจ้าภาพจัดงาน The World Exposition ในปี พ.ศ. 2563 นั้น
ประเทศไทยกับการเป็นเจ้าภาพจัดงาน The World Exposition ในปี พ.ศ. 2563 นั้น
โดย..เกรียงไกร กาญจนะโภคิน
ดูเหมือนจะใกล้ความจริงขึ้นทุกทีแล้วครับ เพราะเราเป็นประเทศที่สองในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดงานอย่างเป็นทางการ ต่อจากประเทศตุรกีที่เสนอเมืองอีสเมียร์เป็น Host City ขณะที่บ้านเราเสนอให้ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็น Host City
ในเดือน พ.ย.นี้ ทาง BIE หรือ Bureau of International Exposition จะปิดรับประเทศที่ขอเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ เมื่อถึงเวลานั้นเราก็จะทราบว่ามีกี่ประเทศที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ และประเทศใดบ้างที่เป็นคู่แข่งของเรา และจะประกาศผลอย่างเป็นทางการอีกครั้งในปี พ.ศ. 2556 น่าจะประมาณเดือน มิ.ย. โดยประเทศที่ได้ผลโหวตมากที่สุดจากสมาชิก BIE ทั้งหมด 157 ประเทศ จะได้เป็นเจ้าภาพในการจัดงานครับ
ถ้าถามผมว่า ประเทศไทยมีโอกาสที่จะได้เป็นเจ้าภาพหรือไม่ ผมขอตอบว่า เรามีโอกาสพอสมควร แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลใหม่ที่ได้รับเลือกมานั้น ให้ความสนใจและเอาจริงเอาจังกับงานนี้มากน้อยเพียงใด เพราะการจะได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพนั้น ผมบอกเลยครับว่าไม่ได้อยู่ที่ขนาดของประเทศ แต่ขึ้นอยู่กับจำนวนมือที่ยกโหวตให้กับเราครับ “One Country One Vote” ทุกประเทศเสมอภาคกันหมด
ผมเคยถามคณะทำงานของรัฐบาลจีนว่า กว่าจะได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน The World Exposition Shanghai China 2010 นั้นยากหรือไม่ ได้รับคำตอบทันทีเลยครับว่า ยากมากและต้องลงทุนลงแรงอย่างมหาศาล เพราะถือเป็นหนึ่งในวาระแห่งชาติ ที่ต้องทำให้งานมหกรรมโลกนี้เกิดขึ้นในประเทศของเขา
ย้อนกลับมาที่บ้านเราครับ ประเทศไทยได้รับเกียรติเข้าร่วมงาน World Expo ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2405 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในฐานะของประเทศชั้นนำในทวีปเอเชีย ซึ่งขณะนั้นมีเพียงประเทศไทย จีน และญี่ปุ่น และได้ร่วมงานมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
การเข้าร่วมงาน World Expo ของประเทศไทยนั้น นอกจากเป็นการชี้ให้เห็นเสถียรภาพและความมั่นคงและแสดง Positioning บนแผนที่ของชาติไทยให้นานาอารยประเทศได้รับรู้ เนื่องจากในยุคสมัยนั้นประเทศเพื่อนบ้านของเราทั้งหมด ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสและอังกฤษ ยังเป็นหนึ่งในกุศโลบายทางการเมืองระหว่างประเทศ ที่ต้องการให้ประเทศเล็กๆ รอดพ้นจากการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกด้วยครับ การเข้าร่วมงาน World Expo ของเราในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 นั้น อาคารศาลาไทยของเราจะเป็นศาลาที่โดดเด่นมาก ไม่ว่าจะเป็นขนาดหรือการออกแบบ สามารถเรียกได้เลยว่าเป็นหนึ่งในชาติชั้นนำของโลก
ทั้งๆ ที่วัตถุประสงค์ในการจัดงาน World Expo ในยุคสมัยนั้น เป็นช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเน้นการแสดงของเทคโนโลยี ผมมีโอกาสได้เห็นภาพถ่ายจริงของอาคารศาลาไทยเมื่อครั้งจัดแสดงอยู่ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2432 และ 2443 (สมัยรัชกาลที่ 5) อดภูมิใจไม่ได้ครับ เพราะศาลาไทยของเราจัดสร้างอยู่ตำแหน่งโดดเด่นที่สุด คือ บริเวณข้างหอไอเฟลที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของงานนี้
ที่ประทับใจ คือ พระบรมวงศานุวงศ์ของเราหลายพระองค์เสด็จฯ ร่วมงานนี้ อย่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมอาคารศาลาไทยเมื่อครั้งจัดแสดง ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ในปี พ.ศ. 2501 และเมื่อครั้งที่จัดแสดง ณ เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ในปี พ.ศ. 2529 ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) เสด็จพระราชดำเนินพร้อมสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยเป็นการเสด็จฯ ไปทรงเยือนอย่างเป็นทางการในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย
การเสด็จฯ ไปทรงเยือนของทั้งสองพระองค์ในครั้งนั้น ถูกบันทึกและได้รับการกล่าวขานถึงความงดงามของศาลาไทยและความสง่างามของทั้งสองพระองค์ และในขณะเดียวกันก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ศาลาไทยของเราจะอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่น เนื่องจากประเทศไทยเราเปลี่ยนหน่วยงานในการดูแลและรับผิดชอบตาม Theme ที่ประเทศเจ้าภาพกำหนด ซึ่งผิดกับประเทศอื่นๆ ที่กำหนดให้หน่วยงานหรือกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบไปเลย เช่น มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศอย่างประเทศออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา หรือมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงการท่องเที่ยวอย่างประเทศสิงคโปร์ ประเทศมาเลเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ หรือกระทรวงพาณิชย์อย่างประเทศอินโดนีเซียและประเทศเวียดนาม สำหรับประเทศญี่ปุ่นและประเทศจีน จะใช้หน่วยงานที่ตั้งขึ้นเพื่อรับผิดชอบโปรเจกต์นี้โดยเฉพาะเพื่อความคล่องตัวและประสบการณ์
สำหรับประเทศไทยเรานั้นอย่างที่ผมบอกครับ ว่าจะเปลี่ยนหน่วยงานรับผิดชอบไปตาม Theme นับตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2535 ณ เมืองเซวิลยา ประเทศสเปน มอบหมายให้กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ในปี พ.ศ. 2543 ณ เมืองฮันโนเวอร์ ประเทศเยอรมนี มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ในปี พ.ศ.2548 ณ เมืองไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และล่าสุดในปี พ.ศ. 2553 ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ให้เป็นความรับผิดชอบของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เห็นไหมครับว่า บ้านเราเปลี่ยนหน่วยงานที่รับผิดชอบทุกปี ผมเองมีส่วนร่วมในงานนี้มาแล้ว 3 ครั้ง เรียนตามตรงว่า ต้องทำความเข้าใจใหม่ทุกครั้งกับกระทรวงที่เข้ามารับผิดชอบ เนื่องจากไม่มี Background งาน World Expo มาก่อนเลย อย่างในปีหน้าทาง BIE จัดให้มีงาน World Expo ย่อยที่เรียกว่า International Expo ณ เมืองโยซู ประเทศเกาหลีใต้ บ้านเราได้มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ดูแล แต่เปลี่ยนหน่วยงานรับผิดชอบเป็นกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เนื่องจาก Theme ในครั้งนี้ Living Ocean and Coast ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกครับที่คณะทำงานท่านจะไม่ทราบหรือมี Background เกี่ยวกับเรื่องการจัดงาน World Expo แต่มองว่าเป็นเพราะการขาดความรู้และความเข้าใจของคณะรัฐมนตรี ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเปลี่ยนไปตาม Theme ของการจัดงานมากกว่าครับ
และในอีก 4 ปีข้างหน้าที่งานมหกรรมระดับโลกจะจัดขึ้นอีกครั้ง ณ กรุงมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่ง Theme ในการจัดงานครั้งนี้คือ “Feeding the Planet Energy for Life” คุณผู้อ่านเห็นชื่อ Theme แล้วคงพอจะทราบนะครับว่ากระทรวงที่รับผิดชอบ คงไม่พ้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่ผมกลับมองว่าควรให้ Thailand Convention and Exhibition Bureau (TCEB) หรือสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) เป็นหน่วยงานที่ดูแลโปรเจกต์นี้ เนื่องจากเคยรับผิดชอบแล้วเมื่อครั้งจัดที่ประเทศจีน ดังนั้นจึงเป็นหน่วยงานที่มีประสบการณ์ ความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง ไม่ใช่ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ทุกๆ ครั้ง
ผมในฐานะหุ้นส่วนประเทศไทยและเป็นหนึ่งในคณะทำงานที่สร้างชื่อให้กับประเทศไทยในงาน World Expo ที่เซี่ยงไฮ้เมื่อปีที่แล้ว อยากขอให้รัฐบาลทำความเข้าใจ เพราะถึงเวลาแล้วครับ ที่ประเทศไทยต้องมีหน่วยงานเฉพาะมารับผิดชอบ เพื่อให้ศาลาของประเทศไทยกลับมาสวยงามและโดดเด่น และสร้างชื่อเสียงให้เหมือนเมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ที่พระมหากษัตริย์ของเราท่านทรงเข้าใจถึงภารกิจว่า การร่วมงาน World Expo นั้นคือการสร้างเกียรติภูมิของประเทศ ไม่ใช่การทำให้ประเทศขายขี้หน้าครับ


