ยึดจีบีซีดึงกัมพูชากลับสู่โต๊ะเจรจา
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศว่า กลไกคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทยกัมพูชา หรือจีบีซี
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศว่า กลไกคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทยกัมพูชา หรือจีบีซี
เป็นเวทีที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งไทยและกัมพูชาจะประชุมร่วมกัน เพื่อถอนทหารออกจากพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามมติของศาลโลก ซึ่งหมายความว่า การถอนทหารจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
แต่หากพิจารณาถึงการประชุมจีบีซีช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กรอบการเจรจาร่วมกันก็คือการปรับลดกำลังทหารของทั้งสองฝ่าย เพื่อลดการเผชิญหน้าที่นำไปสู่การปะทะกัน แต่ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้
นพนิธิ สุริยะ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จากข้อมูลที่มีมาในอดีต เคยมีกรณีร้องขอให้ออกมาตรการชั่วคราว 17 กรณี ศาลรับพิจารณา 10 กรณี แต่เมื่อศาลให้มีมาตรการชั่วคราวออกมาแล้ว ยังไม่เคยมีประเทศใดปฏิบัติตามเลย
ดังนั้น มาตรการชั่วคราวของศาลโลก ซึ่งไม่มีบทบังคับแก่คู่กรณี จึงน่าจะทำให้สภาพการคงกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ มติที่ให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกับอาเซียน และอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์เข้าพื้นที่ ซึ่ง กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เห็นว่า การกำหนดพื้นที่ปลอดทหารขึ้นมาทำให้ข้อตกลงระหว่างไทย กัมพูชา และอินโดนีเซีย สิ้นสุดไปโดยปริยาย ซึ่งจะรายงานให้ประธานอาเซียนทราบ และหารือว่าจะร่วมกันปฏิบัติตามมติศาลโลกอย่างไร ส่วนการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาก็จะเป็นไปตามที่ไทยต้องการ
ขณะเดียวกันข้อกังวลเรื่องชุมชนและวัดกัมพูชานั้น ล้วนเป็นครอบครัวทหาร ก็ต้องถอนออกไปด้วย ซึ่งจะได้นำเข้าหารือในเวทีจีบีซี
ทั้งนี้ พิกัดตามขอบเขตของศาลโลกที่ให้เป็นเขตปลอดทหาร เป็นดังนี้
จุด A ละติจูด 14 องศา 23 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 104 องศา 41 ลิปดาตะวันออก บริเวณบ้านโกมุย ของกัมพูชา
จุด B ละติจูด 14 องศา 24 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 104 องศา 38 ลิปดาตะวันออก บริเวณบ้านสวายจรุม ของกัมพูชา
จุด C ละติจูด 14 องศา 25 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 104 องศา 38 ลิปดาตะวันออก บริเวณช่องโดนเอาว์ของไทย
จุด D ละติจูด 14 องศา 25 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 104 องศา 42 ลิปดาตะวันออก บริเวณช่องตาเฒ่าของไทย
พื้นที่ปลอดทหารดังกล่าว มีเนื้อที่ประมาณ 3.7 ตารางกิโลเมตร ซึ่งในความเห็นของฝ่ายทหารเห็นว่า การถอนกำลังจะทำให้ไทยเสียที่มั่นซึ่งได้เปรียบ
แหล่งข่าวจากกองทัพบก เปิดเผยว่า ถอนทหารแล้วไทยเสียเปรียบ พื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ที่เรายึดครองไว้มานานจะต้องเสียไปหมด ทั้งภูมะเขือ พลาญอินทรีย์ อีกทั้งในอนาคตกัมพูชาอาจใช้กลยุทธ์เดิมในการรุกพื้นที่อีก
ด้านสมปอง สุจริตกุล อดีตทนายความผู้ประสานงานคดีปราสาทพระวิหาร ก็เห็นว่า มติดังกล่าวของศาลโลกถือว่าเป็นผลดีที่สุดเท่าที่จะคาดหวังได้ เพราะศาลได้รับฟังทั้งสองฝ่าย ไม่ได้ฟังความข้างเดียว การทำให้เป็นเขตปลอดทหาร ทำให้ความตึงเครียดหย่อนลง แต่กระบวนการหลังจากนี้ คือการพิจารณาตีความคำพิพากษาศาลโลกเมื่อปี 2505 ซึ่งไทยต้องคัดค้านอำนาจศาลเท่านั้น
ขณะที่ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กลับเห็นว่า ไม่ควรถอนทหารออกจากพื้นที่ เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวครอบคลุมเฉพาะฝ่ายกองทัพ ไม่ได้รวมไปถึงพลเรือนของกัมพูชาที่มาตั้งรกรากในพื้นที่ ถ้าปล่อยไว้จะยากต่อการผลักดัน และไทยควรจะแสดงท่าทีให้ชัดว่าไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก โดยใช้ข้ออ้างที่ระบุว่าไม่ขอต่ออนุปฏิญญาศาลโลกตั้งแต่ปี 2505 ซึ่งเป็นขอสงวนที่ไทยได้เคยเสนอเอาไว้
“หากไม่ดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้และปล่อยพลเรือนของกัมพูชากระทำกิจกรรมอะไรต่อไปได้ จะยิ่งทำให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชามากขึ้นและสุ่มเสี่ยงต่อการเสียอธิปไตยเหนือดินแดนตัวเอง” ปานเทพ กล่าว
เช่นเดียวกับคำนูณ สิทธิสมาน สว. สรรหา เห็นว่า ขณะนี้แม้ไทยยังไม่เสียดินแดน แต่โอกาสที่เราจะสูญเสียในอนาคตมีมาก ถึงที่สุดแล้วไทยจะเป็นฝ่ายเสียหาย แต่กัมพูชาเสมอตัว ชุมชนและวัดก็ยังคงอยู่ ยังสามารถส่งกำลังบำรุง โดยที่ไทยทำอะไรไม่ได้


