posttoday

ทองโลกกระฉูดสนองวิกฤตหนี้

19 กรกฎาคม 2554

คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าปัญหาวิกฤตหนี้ของสหรัฐและยุโรป ทำให้ยุคตื่นทองตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าปัญหาวิกฤตหนี้ของสหรัฐและยุโรป ทำให้ยุคตื่นทองตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ

โดยหลักฐานที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ราคาทองคำในตลาดโลกในขณะนี้เพิ่งทำสถิติรอบใหม่เฉียด 1,600 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ เมื่อวันจันทร์ที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา

ราคาทองคำยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2554 นี้ จนถึงขั้นที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่าราคาทองทำในปีนี้อาจจะพุ่งทะลุ 2,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์โน่น...!

แน่นอนว่าสภาพผันผวนทางเศรษฐกิจที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ในขณะนี้ คือตัวการสำคัญที่ส่งผลให้บรรดานักลงทุนทั้งหลายทิ้งกระดาษ (เงิน) ในมือ เพื่อพักหลบภัยอิงอาศัยสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีมูลค่าในตัวของมันเองอย่างทองคำ

เพราะในสายตาของนักลงทุน สถานะของทองคำก็คือตัวมูลค่าของความมั่งคั่งมั่นคงอันดับหนึ่งตลอดกาล ที่ยังไม่มีสิ่งไหนมาทดแทน ท้าทาย หรือเปลี่ยนแปลงได้มานานนับศตวรรษ

และไม่ว่าจะด้วยคุณสมบัติที่คงทน หรือหายากจนทำให้มีจำกัด แต่ทองคำก็มีมูลค่าแตกต่างจากเงินสด พันธบัตร และหุ้นหรือหลักทรัพย์อื่นๆ อย่างเด่นชัดตรงที่บรรดาทรัพย์สินเหล่านั้นแฝงไว้ด้วยเจตนาในการกำหนดค่าจากมนุษย์ด้วยกัน

ทองโลกกระฉูดสนองวิกฤตหนี้

อย่างไรก็ตาม แม้ทุกคนจะตระหนักรู้ดีแก่ใจว่าทองคำมีมูลค่ามากมายมหาศาล แต่ตลาดการซื้อขายทองคำก็ไม่ได้ “ฮิต” หรือ “บูม” มากนักในการซื้อขายเก็งกำไร ด้วยเหตุผลธรรมดาสามัญที่ว่าทองคำควรมีไว้เก็บ ซึ่งผิดกับวิสัยของนักเก็งกำไรที่ดี ที่ชื่นชอบการซื้อมาขายไป

ทว่า มูลค่าทองคำในตลาดโลกดูจะทวีความร้อนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีลดในช่วง 10 ปีให้หลัง โดยราคาทองคำจากเดือน ธ.ค. 2543 ถึงเดือน ต.ค. 2553 เพิ่มขึ้นถึง 400% เนื่องจากบรรดานักลงทุนไม่ได้มองทองคำว่าเป็นตัวสำรองทรัพย์สินที่ดี แต่กลับมองทองคำว่าเป็นโอกาสในการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนกลับมาคุ้มค่ากว่า ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางเศรษฐกิจแบบนี้

ทั้งนี้ ในมุมมองของนักวิเคราะห์ ปัจจัยแรกสุดที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในตลาดโลกให้เพิ่มขึ้นก็คือ ตัวเลขเงินเฟ้อในแต่ละประเทศที่ปรับสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ราคาข้าวของแพงจนผู้คนนิยมหันมาจับทองเพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างจีนและอินเดีย ที่ประชาชนนิยมหาซื้อเครื่องประดับจำพวกทองคำมาเก็บมากขึ้น

ปัจจัยต่อมาก็คือ ความอ่อนแอปวกเปียกของสกุลเงินหลักของโลกอย่างเงินเหรียญสหรัฐและเงินยูโรอันเป็นผลมาจากปัญหาหนี้สาธารณะ

ขณะที่ปัจจัยสุดท้ายก็คือ ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกที่ซีกหนึ่งมุ่งการเก็บตุนสำรอง แต่อีกฟากหนึ่งกระตุ้นให้ใช้จ่าย ซึ่งเป็นสัญญาณส่อความไม่แน่นอน ไม่มั่นใจต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกในอนาคต

ในบรรดา 3 ปัจจัยที่เอ่ยมาข้างต้น ปัจจัยล่าสุดที่เร่งให้ราคาทองคำพุ่งทะลุสถิติ หนีไม่พ้นวิกฤตปัญหาหนี้ในสหรัฐ ลูกพี่ใหญ่ของเศรษฐกิจโลก ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และมีปริมาณทองคำสำรองไว้ในธนาคารกลางสูงถึง 6,200 ตัน

สิ่งที่ทำให้ปัญหาหนี้ของสหรัฐต้องย่ำแย่เข้าขั้นวิกฤต ก็เนื่องมาจากบรรดานักลงทุนต่างเริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นที่มีต่อสหรัฐว่าจะจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้

ทั้งนี้ หนี้สาธารณะของสหรัฐพุ่งขึ้นมาจนชนเพดานที่ตั้งไว้อยู่ที่ 14.29 ล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา และเพื่อให้สามารถชำระหนี้ได้ตามเส้นตายที่กำหนดในวันที่ 2ส.ค. สหรัฐจะต้องเพิ่มเงินในคลังอย่างเร่งด่วน และทางด่วนที่สหรัฐต้องทำในขณะนี้ก็คือ การขอให้สภาคองเกรสอนุมัติให้รัฐบาลเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งทำให้สหรัฐสามารถผลิตตราสารหนี้ออกมาขายเพื่อระดมทุนเข้าคลัง

ทว่า ระยะเวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาจนเหลือไม่ถึง 2 อาทิตย์ สภาคองเกรสของสหรัฐก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวคืบหน้าของมาตรการใดๆ ที่พอจะทำให้นักลงทุนเบาใจเลยแม้แต่น้อย อันเนื่องมาจากเกมการเมืองของ 2 พรรคใหญ่อย่างพรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน

เพราะขณะที่พรรคเดโมแครต ของประธานาธิบดี บารัก โอบามา ได้ยอมรับข้อเสนอของพรรครีพับลิกันในการหั่นลดค่าใช้จ่ายของรัฐ ซึ่งรวมถึงนโยบายลดเงินสวัสดิการและเงินช่วยเหลือประชาชน อันเป็นนโยบายหลักที่เรียกเสียงสนับสนุนทางการเมืองของพรรค เพื่อแลกกับความยินยอมของสมาชิกพรรครีพับลิกันในการขึ้นเพดานหนี้

พรรครีพับลิกันกลับลังเลเมื่อเจอไม้เด็ดของประธานาธิบดีโอบามา ที่ยื่นเงื่อนไขมาว่า รัฐบาลจำต้องหารายได้เข้าคลังด้วยการขึ้นภาษี โดยเฉพาะการเรียกเก็บจากคนรวย และยกเลิกการงดเว้นภาษีจากบรรดาบริษัทน้ำมัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฐานเสียงหลักของพรรครีพับลิกันด้วยเช่นกัน

เข้าทำนองว่า ถ้าต้องเสีย ก็ต้องยอมเสียอย่างเท่าเทียมกัน และดูเหมือนว่าข้อเสนอของโอบามาจะตรงใจประชาชนไม่น้อย เพราะจากการสำรวจล่าสุดโดยแกลลัพโพล 69% ของประชาชนอเมริกันยกมือสนับสนุนเต็มที่

เอเดรียน ฟอสเตอร์ หัวหน้าศูนย์วิจัยการตลาดในเอเชียแปซิฟิกของราโบ แบงก์ อินเตอร์เนชันแนล ประจำฮ่องกง ระบุว่า แม้บรรดาเซียนนักวิเคราะห์ทั้งหลายจะรู้ดีแก่ใจว่าสหรัฐจะไม่ยอมปล่อยให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้อย่างแน่นอน แต่สถานการณ์ล่อแหลมที่เกิดขึ้นก็อดที่จะทำให้นักลงทุนเกิดอาการวิตกจริตไม่ได้

สหรัฐรู้ดีอยู่แก่ใจว่า หากไม่ยอมให้มีการขึ้นเพดานหนี้จนปล่อยให้การผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นสิ่งที่สหรัฐคาดไม่ถึง และคงจะไม่อยากคาดเดาด้วย

การเบี้ยวหนี้ของสหรัฐจะผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นจนผู้บริโภคหมดปัญญากู้เพื่อซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือทำบัตรเครดิต ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้ภาระหนี้รัฐบาลหนักหนามากขึ้น จนรัฐต้องยุติระบบบำนาญผู้สูงอายุ และทั้งหมดทั้งมวลก็นำไปสู่ความวุ่นวายไม่เพียงแต่ภายในสหรัฐเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก เพราะเจ้าหนี้ของสหรัฐมีอยู่ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม แม้เวลาจะกระชั้นชิด แต่หากมองในแง่ดี สหรัฐก็ยังเหลือเวลาอีก 4 วัน ก่อนถึงกำหนดเส้นตายที่ประธานาธิบดีโอบามากำหนดไว้ในวันที่ 22 ก.ค.นี้ เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันในการเพิ่มเพดานหนี้ของประเทศ

และเป็นที่น่ายินดีว่าบรรดาสมาชิกสภาคองเกรสและวุฒิสมาชิกของสหรัฐต่างมีความเห็นตรงกันอย่างหนึ่งว่า ไม่อาจปล่อยให้ประเทศเสียความน่าเชื่อถือโดยการผิดนัดชำระหนี้ได้

แต่กว่าจะถึงเวลานั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นักลงทุนทั้งหลายคงแห่ไปซบทองคำ จนส่งผลให้ราคาแร่โลหะชนิดนี้พุ่งเรื่อยๆ ต่อเนื่องแบบฉุดไม่อยู่ต่อไป ตราบใดที่วิกฤตหนี้ยังรุมเร้าสหรัฐและยุโรปไม่จบไม่สิ้นเสียที...!  

 

ข่าวล่าสุด

จากดราม่า ‘น้องหมากินข้าวร่วมโต๊ะในร้าน’ สู่การส่องกฎหมาย Pet Friendly ของ ‘เกาหลีใต้’