เปิดบันทึกปฏิบัติการลับ กับคำถามอมตะ "ทำไมต้องแย่งกันรักชาติ"
พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. แนะนำหนังสือ “ปฏิบัติการลับ ในสมรภูมิรบ” พร้อมยกเนื้อหาในหนังสือที่ว่า "ความสามัคคีเป็นสิ่งประเสริฐสุด"
เฟซบุ๊คเพจ Wassana Nanuam ผู้สื่อข่าวของ Bangkok Post รายงานว่า พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. แนะนำ “ปฏิบัติการลับ ในสมรภูมิรบ” โดย ดร.ทิพภานิดา ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา บุตรีของ พล.ต. จักรชัย ศุภางคเสน พร้อมยกเนื้อหาในหนังสือที่ว่า "ความสามัคคีเป็นสิ่งประเสริฐสุด ที่ทุกคนในชาติต้องกระทำ ถึงแม้ด้วยความจำใจ"
ยังมีอีกหลายแง่คติดที่ "บิ๊กแดง" ยกมาจากหนังสือเล่มนี้
ทำไม ผบ.ทบ. ถึงอ้างหนังสือที่หลายคนคงบไม่เคยรู้จักชื่อมาก่อน? เจตนาของบิ๊กแดงอยุ่ในเนื้อหาข่าวของวาสนา นาน่วมแล้ว นั่นคือข้อความที่ว่า "ปัจจุบันเรามีกลุ่มแสดงการรักชาติมากมาย หลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็แสดงออกให้เห็นว่าฉันรักชาติไทยมากกว่าแก หรือฉันรักชาติ และทำอย่างนี้ถูกต้องแล้ว. ทุกคนต้องทำตาม จนกระทั่งเกิดเป็นกลุ่มขวา ซ้าย ตลอดจนขวาของขวา และซ้ายของซ้าย หรือขวาของซ้าย และซ้ายของขวา จนยุ่งไปหมด"
เขากับข้อความจากหนังสือที่อดีตเสรีไทยตั้งคำถามเอาไว้เมื่อหลายสิบปีก่อนว่า "ทำไมต้องแย่งกันรักชาติ?"
พล.ต. จักรชัย ศุภางคเสน เป็นนายทหารที่ไม่มีบทบาทการเมือง แต่มีบทบาทในการรบที่สำคัญของประเทศ เขาเป็นทหารอาชีพที่ทำงานปิดทองหลังพระ และเมื่อจะเล่านการเมืองเขาก็ไม่เล่นมันทั้งเครื่องแบบ แต่ถอดออกเสียก่อนเพื่อเล่นตามกติกา
หนังสือของพล.ต. จักรชัย ศุภางคเสนมีทั้งบันทึกประสบการณ์การรบและภาพถ่ายที่ล้ำค่ามากมาย เป็นภาพยุทโธปกรณ์และการรบจริงในช่วงที่ไทยกับฝรั่งเศสเผชิญหน้ากันในช่วงกรณีพิพาทอินโดจีนเมื่อปีพ.ศ. 2483 พล.ต. จักรชัยได้เป็นผู้บังคับหมวดกองรรบไปรบที่พระตะบอง
พล.ต. จักรชัย ขณะอัญเชิญเครื่องยศจอมพลทหารบก จอมพลทหารเรือ ทูลเกล้าถวายในหลวงรัชกาลที่ 8
การรบครั้งนั้นมีรัฐบุรุษอีกหนึ่งท่านของไทยไปร่วมด้วย นั่นคือพล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ไปรบที่ปอยเปต และพล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ เด็กถูกส่งไปแนวหน้ากัมพูชาที่สุรินทร์
ดังนั้นสมรภูมิของกรณีพิพาทอินโดจีนจึงสร้างนายกรัฐมนตรีไทยถึง 2 คน และยังเป็นชัยชนะของฝ่ายไทยที่ทำให้จอมพลป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้คะแนนไปมากโข
จอมพลป. พิบูลสงครามประโคมโฆษณาให้คนไทยสามัคคีกันเพื่อทวงคืนดินแดน "ของไทย" ที่สูญเสียไปให้กับฝรั่งเศสและกลายเป็นส่วนหนึ่งของกัมพูชาในฐานะอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศส
พล.ต จักรชัยเคยเขียนไว้ในภายหลังว่า "ความสามัคคีเป็นสิ่งประเสริฐสุด ที่ทุกคนในชาติต้องกระทำ ถึงแม้ด้วยความจำใจ" ความสามัคคีที่จอมพลป. พิบูลสงครามปลุกระดมในหมู่คนไทยในเวลานั้นก็เป็นความจำใจเช่นกัน
ในหนังสือที่เขียนโดยดร.ทิพภานิดา ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา บุตรีของ พล.ต. จักรชัย ศุภางคเสน ชี้ให้เห็นว่า ไทยจำเป็นต้องทวงดิแดรนคืนมาเพื่อเป็นด่านหน้าป้องกันการรุกรานของญี่ปุ่น เพราะในเวลานั้นญี่ปุ่นได้ยกทัพเข้ามาในเวียดนามแล้ว และยึดครองกัมพูชาที่เหลือในเดือนถัดมาหลังจากทำตัวเป็นกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพารทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส มาถึงตอนนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป้าหมายต่อไปของญี่ปุ่นจะต้องเป็นไทยอย่างแน่นอน
นี่กระมังคือความจำเป็นที่จอมพลป. จะต้องปลุกระดมให้คนไทยสามัคคีกัน
หนังสือพิมพ์เก่าที่ปรากฎในหนังสือเล่มนี้ เกี่ยวกับกรณีพิพาทอินโดจีน
แต่ในที่สุดญี่ปุ่นก็รุกรานไทยจนได้ในวันที่ 8 ธันวาคม 2484 แม้จะมีการต่อต้านอย่างกล้าหาญของทหารและพลเรือนไทยในเมืองต่างๆ แต่สุดท้ายรัฐบาลจอมพลป. เลือกที่จะยอมให้ญี่ปุ่นผ่านทางไป ด้วยเหตุผลบางกระการ (ซึ่งสามารถอ่านได้ในหนังสือเล่มนี้) มิใช่แค่จอมพลป.นิยมญี่ปุ่นอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน "เท่านั้น"
การรุกรานของญี่ปุ่นคือจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการลับของพล.ต. จักรชัย ศุภางคเสน
ท่านบันทึกเอาไว้ว่า
"แล้ววันหนึ่งข้าพเจ้าก็ได้รับคำสั่งให้ไปพม่ากับทหารญี่ปุ่นโดยอ้างว่าให้ไปดูงานการรถไฟทหารของญี่ปุ่นที่ มะละแหม่ง คำสั่งพิเศษก็คือให้ไปดูว่าย่านรถไฟของกองทัพญี่ปุ่นที่มะละแหม่งอยู่ที่ไหนในลักษณะการอย่างไร เป็นคำสั่งเฉพาะตัวข้าพเจ้าที่ได้รับจาก พ.อ. สุรจิตร์ จารุเสนีย์ แต่ผู้เดียวเพราะในขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมอยู่ในขบวนการเสรีไทยในสายของ พ.อ. สุรจิตร์ จารุเสนีย์"
ในเวลานั้นเมืองมะละแหม่งตกเป็นของญี่ปุ่นแล้ว และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการรุกและรับกองทัพอังกฤษ พล.ต. จักรชัยไม่ได้เดินทางไปในฐานะเสรีไทย แต่ไปในฐานะนายทหารของกองทัพไทยที่เป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น
หน่วยรบจักรยาน จากอัลบั้มภาพส่วนตัวของพล.ต.จักรชัย
การเดินทางไปมะละแหม่งของพล.ต. จักรชัย ศุภางคเสนเผชิญกับเรื่องน่าตื่นเต้นมากไมาสามารถเล่าตรงนี้ได้หมด แต่มีตอนหนึ่งท่านเล่าว่าจู่ๆ ทหารญี่ปุ่นก็พาท่านไปดูสถานที่ปิดลับทางยุทธศาสตร์ในพม่าเสียอย่างนั้น ทำให้ทหารญี่ปุ่นดังกล่าวถูกต่อว่าอย่างรุนแรงจากผู้บัญชาการ ขากลับมาเมืองไทยนั้นท่านเล่าว่า
"คณะเราแยกกันกลับ ที่สถานีหนองปลาดุกก่อน นากามูร่าได้มองหน้าข้าพเจ้าและกล่าวย้ำชัดอีกครั้งเรื่องให้เก็บเป็นความลับที่สุดถึงสถานที่สร้างย่านรถไฟมะละแหม่งเราจากกันด้วยความคิดคนละทาง เรื่องของชาติใครใครก็รักความเป็นเพื่อนต้องแยกออก"
แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถยกทั้งเรื่องมาให้อ่านตรงนี้ได้ รายละเอียดทุกอย่างอยู่ในหนังสือ “ปฏิบัติการลับ ในสมรภูมิรบ” แล้ว
เช่นเดียวกับปฏิบัติการของพล.ต. จักรชัยในการช่วยเหลือทหารชาวต่างชาติที่เข้ามาประสานงานกับเสรีไทย ซึ่งแค่เริ่มต้นก็สนุกแล้ว โดยท่านบันทึกไว้ว่า
"ขณะที่นั่งกันมาเราทุกคนก็หารือกันว่าการผ่านด่านทหารญี่ปุ่นที่ดอนเมืองจะทำอย่างไรยังไม่ปรากฏข้อมูลอีกที่คือปฏิบัติเหตุการณ์คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงายพอควรขึ้น ๗ ค่ำพระจันทร์กำลังเริ่มตกแต่ยังมีประกายแสงสว่างอยู่พอสมควร รถวิ่งด้วยความเร็วไม่ช้าหรือเร็วนะทุกคนกระชับปืนกลมือแน่น ไม่ทราบว่าชะตากรรมข้างหน้าจะเป็นอย่างไร"
อ่านแล้วรู้สึกหวาดเสียวแทน กลัวว่าเสรีไทยและฝรั่งจะถูกญี่ปุ่นจับได้ เพราะหากไม่พ้นสายตาญี่ปุ่นเป็นอันได้ไปเฝ้ายมบาลแน่นอน
ภาพรถถังในสมรภูมิกรณีพิพาทอินโดจีน จากอัลบั้มภาพส่วนตัวของพล.ต. จักรชัย
พล.ต. จักรชัยผ่านร้อนผ่านหนาวในงานด้านการทหารมามาก ท่านผ่านการรบทั้งในรูปแบบและนอกแบบ ผ่านการทำงานร่วมกับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองบางท่าน ได้รับรู้ความไม่จีรังของอำนาจ และเนื้อแท้ของการเมืองไทย
การเมืองไทยเมื่อหลายสิบปีก่อนเป็นอย่างไร ในวันนี้ก็ไม่ต่างกันมากนัก พล.ต. จักรชัย ตกผลึกเรื่องนี้เอาไว้เป็นข้อเขียนหลายชิ้น เต็มไปด้วยแง่คิดที่แหลมคมไม่ว่าจะเป็นคำกล่าวที่ว่า "ชาติไม่ใช่ของเล่นที่ใครจะนำไปทดลองกัน" และ "อย่ามัวแย่งกันรักชาติ มาช่วยกันแย่งกันหาทางสร้างสันติสุขให้แก่มวลประชาชนคนไทยดีกว่า"
ท่านกล่าวว่า
"ปัจจุบันเรามีกลุ่มแสดงการรักชาติมากมายหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็แสดงออกให้เห็นว่า - ฉันรักชาติไทยมากกว่าแก หรือ - ฉันรักชาติและทำอย่างนี้ถูกต้องแล้ว ทุกคนต้องทำตาม- จนกระทั่งเกิดเป็นกลุ่มขวาและซ้าย ตลอดจนขวาของขวา และซ้ายของซ้าย หรือขวาของซ้ายและซ้ายของขวาจนยุ่งไปหมด ประชาชนผู้คอยตามก็ไม่รู้จะไปทางไหน ได้แต่นั่งทำตาปริบๆ และคอยยกมือให้กับผู้ที่อยู่ใกล้ในลักษณะของการถูกบังคับมากกว่าที่จะเป็นไปตามความสมัครใจ"
ทุกวันนี้เรายังคงถกเถียงกันเรื่องรักชาติ-ชังชาติ ไม่ต่างจากวัจนที่ พล.ต. จักรชัยได้เขียนเรื่องนี้ไว้หลายสิบปีก่อนเลย