posttoday

คดียุบพรรค"ไทยรักษาชาติ" ฝ่ายประชาธิปไตยไม่สะดุด

24 กุมภาพันธ์ 2562

เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ประเมินสถานการณ์การเลือกตั้งว่าเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกในช่วงการเลือกตั้งที่ยังมีการใช้อำนาจในการดำเนินการกับพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม

เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ประเมินสถานการณ์การเลือกตั้งว่าเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกในช่วงการเลือกตั้งที่ยังมีการใช้อำนาจในการดำเนินการกับพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม

**********************

โดย...ธนพล บางยี่ขัน

เข้าสู่ช่วง 30 วันสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง 24 มี.ค. ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่อึมครึมและมีปัจจัยร้อนต่างๆ อันล้วนแต่มีผลต่อทิศทางการลงคะแนนและการจับขั้วหลังเลือกตั้ง

ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย มองว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือเรื่องการประชาสัมพันธ์ เพราะการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ใช้กติกาที่เปลี่ยนแปลงเยอะมาก โดยเฉพาะบัตรใบเดียวเลือกทั้ง สส.เขตและบัญชีรายชื่อ หรือบัญชีนายกฯ ซึ่งการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ยังน้อย

รวมไปถึงเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ที่หลายส่วนผิดแผกไปจากเดิม ซึ่งความไม่ชัดเจน ความสับสน จะเป็นปัญหา ดังนั้นสิ่งที่อยากเห็นคือการประชาสัมพันธ์ ทำความเข้าใจให้ประชาชนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้ง การลงคะแนนในบัตรเลือกตั้ง การดำเนินการในกฎกติกาต่างๆ อีกทั้งการลงทะเบียนเพื่อลงคะแนนเสียงล่วงหน้า ก็ไม่ได้มีการเตรียมการเพียงพอจนเกิดเว็บล่ม มีผู้ไม่สามารถใช้สิทธิล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สิทธิหายไปจำนวนหนึ่ง

“การหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ ระเบียบกติกาหยุมหยิมค่อนข้างมาก แต่ละคน แต่ละส่วน ที่จะดำเนินการต้องระมัดระวัง ทำให้เป็นการเลือกตั้งที่ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม ที่พรรคการเมืองมีอิสระในการสามารถคิดค้นวางยุทธศาสตร์ทำได้ยากลำบากกว่าเดิม อันนี้เป็นเรื่องที่พรรคการเมืองต่างๆ ต้องเผชิญกันถ้วนหน้า โดยรู้สึกว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ค่อยราบรื่นคล่องตัว หรือสามารถสื่อสารกับประชาชนได้มากที่สุด”

เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ประเมินว่า องค์กรที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการเรื่องนี้ยังเข้าใจปรัชญาการดำเนินการเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ความจริงแล้วการเลือกตั้งควรจะเป็นการเลือกตั้งที่ทำให้ทุกฝ่ายเข้าถึงข้อมูลได้มากที่สุด รับรู้ข้อมูลข่าวสารพรรคการเมืองต่างๆ ได้มากที่สุด เพื่อให้ประชาชนได้คิดตัดสินใจเลือกอนาคตตัวเองได้ดีที่สุด

ส่วนบรรยากาศในช่วงเวลานี้ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มมองว่าฝ่ายที่มีอำนาจปัจจุบัน ซึ่งยึดอำนาจ 5 ปี มีความตั้งใจจะคืนอำนาจอย่างแท้จริงหรือไม่ เพราะบรรยากาศไม่เหมือนกับบรรยากาศการเลือกตั้งทั่วไป รัฐบาลยังทำหน้าที่เต็มพิกัด เต็มขีดความสามารถตัวเอง และยังจะกำหนดชะตากรรมอนาคตข้างหน้า แทนที่จะปล่อยให้เกิดบรรยากาศเสรีในการหาเสียงอย่างกว้างขวางเป็นธรรม

ทั้งนี้ การปฏิบัติต่างๆ ที่ผ่านมาเห็นปัญหาในการให้โอกาสทุกฝ่ายไม่เท่ากัน รัฐบาลมีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ใช้งบประมาณลงไปดำเนินการ นายกฯ เองมีพรรคที่สนับสนุนชื่นชอบให้มาลงแคนดิเดตนายกฯ ในพรรค แต่ยังทำหน้าที่เสมือนเป็นรัฐบาล ไม่ใช่รักษาการอย่างที่ระบอบประชาธิปไตยเขาทำกัน ยังมีโอกาสใช้สื่อมากกว่าคนอื่น ขณะที่พรรคอื่นใช้สื่อค่อนข้างลำบาก

“วันนี้ไม่ใช่แค่พรรคเพื่อไทยที่ต้องเผชิญกับสภาพนี้ แต่ทุกพรรคที่กระโดดเข้ามาแข่งขันภายใต้ระบอบประชาธิปไตยก็ต้องประสบปัญหาหนักเท่ากัน เพราะว่าขณะนี้มีฝ่ายหนึ่งอยู่ในอำนาจปัจจุบัน มีโอกาส ศักยภาพมากกว่าคนอื่น ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ ในระบอบประชาธิปไตยต้องเผชิญกับข้อระเบียบต่างๆ เริ่มต้นยังไงก็ไม่ค่อยยุติธรรมอยู่แล้ว”

ภูมิธรรม ระบุว่า ผู้มีอำนาจในปัจจุบันเป็นผู้ที่กำหนดกลไก องค์ประกอบ หรือคนที่จะเขียนกติกาใหม่ทั้งหมด แต่ตอนนี้อาสาตัวเองกระโดดเข้ามาเป็นหนึ่งในแคนดิเดตของพรรคการเมืองที่เข้ามาร่วมการแข่งขัน ดังนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าคนที่มีอำนาจเดิมมีโอกาสเข้ามาควบคุมกลไกต่างๆ เข้ามาต่อสู้กับพรรคการเมืองต่างๆ แต่เชื่อว่าประชาชนตรวจสอบได้ว่า 4-5 ปี ที่อยู่กับรัฐบาลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จแบบนี้ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาในชีวิตเป็นอย่างไร

ส่วนเรื่องกระแสข่าว “ปฏิวัติซ้อน” ที่ออกมาในช่วงนี้ ภูมิธรรม เห็นว่า เรื่องข่าวลือจะไปโทษใครก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่บรรยากาศอย่างนี้ยิ่งทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำว่า จะยังมีการเลือกตั้งอยู่ไหม ทั้งที่เหลือเวลาหาเสียงอีกแค่ 30 วัน ถามผู้สื่อข่าวทุกสำนัก ถามนักการเมืองทุกคน ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่มี หรือจะมีรัฐบาลเฉพาะกาลนู่นนี่

“เป็นการเลือกตั้งในบรรยากาศที่แปลก ไม่เคยเห็นในบรรยากาศประชาธิปไตยไทย มันก็ทำให้แต่ละฝ่าย เอ๊ะ ยังจะลงแรงไปเช่นนั้นหรือไม่ คนที่กังวล มึน งง ก็คอยระมัดระวังตัว ทำงานไม่ถนัด ไม่เป็นธรรมชาติจริงๆ ซึ่งไม่เอื้อต่อระบอบประชาธิปไตย ความจริงบรรยากาศการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในที่ต่างๆ ทั่วโลกคงจะคึกคักมาก ทุกคนออกมาแสดงความคิดความเห็นเต็มที่ คนเห็นเหมือนเห็นต่างก็ออกมาถกเถียงกันได้เต็มที่ การสร้างสรรค์สติปัญญาทำให้เกิดการหาทางออก ทางเลือกของชีวิตแต่ละส่วนกันกว้างขวางมากขึ้น ทำให้คนเห็นทางเลือก แต่สังคมไทยไม่เกิดสิ่งเหล่านั้น ยังอึมครึม ใช้กฎระเบียบ สภาพบังคับ กำหนดทิศทางการหาเสียงอย่างยากลำบาก”

คดียุบพรรค"ไทยรักษาชาติ" ฝ่ายประชาธิปไตยไม่สะดุด

ส่วนคดียุบพรรคไทยรักษาชาติที่อาจจะเป็นตัวแปรในการลงคะแนนเลือกตั้งนั้น ภูมิธรรม กล่าวว่า แทนที่บรรยากาศจะเอื้อให้ทุกฝ่ายได้พูดแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ เพื่อให้ประชาชนได้มีสิทธิตัดสินใจและเลือก กลายเป็นต้องมาห่วงว่าทำไอ้นั่นผิดตรงนั้นหรือเปล่า ทำตรงนี้ผิดหรือเปล่า จะถูกยุบตรงนั้น ตรงนี้ สร้างความหวาดระแวงหวาดกลัว มากกว่าการส่งเสริมการใช้สติปัญญาคิดแสวงหาทางออกทางเลือกให้ประชาชน

ถามว่าคดียุบพรรคไทยรักษาชาติจะกระทบกับยุทธศาสตร์แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อยมากน้อยแค่ไหน เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มันไม่มีกลุ่มหรือยุทธศาสตร์แบงก์พันแบงก์ร้อย เป็นเรื่องที่คนคิดกันไปเอง ไม่มีพรรคการเมืองไหนเคยประกาศแบบนั้น แต่วันนี้พรรคฝั่งที่เป็นประชาธิปไตยไม่พึงพอใจกับรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร และรณรงค์หาทางแก้ไข พรรคไทยรักษาชาติก็เป็นหนึ่งในพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ถ้าหากเขามีปัญหาก็กระทบกับพรรคฝั่งประชาธิปไตยบ้าง แต่เชื่อว่าพรรคฝั่งประชาธิปไตยดำเนินการต่อไปได้ และประชาชนตัดสินใจโดยไม่ได้เลือกอยู่กับพรรคใดพรรคหนึ่ง

นอกจากนี้ พรรคไทยรักษาชาติจะถูกยุบหรือไม่ถูกยุบไม่อาจสรุปได้ชัดเจน เรายังไม่รู้ว่าพรรคไทยรักษาชาติจะถูกยุบไหม และกระบวนการพิจารณาจะใช้เวลานานเท่าไร ถ้าตัดสินก่อนการเลือกตั้ง ผลก็อย่างหนึ่ง ถ้าตัดสินใจหลังลงคะแนนเลือกตั้ง ผลก็อีกอย่างหนึ่ง หรือตัดสินหลังประกาศรับรองผลแล้วก็อีกอย่างหนึ่ง ไม่มีใครบอกได้ว่าผลจะออกมาอย่างไร

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกระบวนการตัดสินยุบพรรค ไม่ว่าจะพรรคไทยรักษาชาติ อนาคตใหม่ หรือพรรคอื่น ต้องได้รับสิทธิในวิธีการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใส กว้างขวาง ทั่วถึง ให้เขาได้ปกป้องชี้แจงเหตุผล ปกป้องตัวเอง ตามระบบปกติ ในส่วนของไทยรักษาชาติเขาแค่กำลัง “สะดุด” แต่ยังเห็นหาเสียงเดินหน้า คนที่มีปัญหากรรมการบริหารพรรคก็สู้กันไป แต่สมาชิกที่ลงสมัครเลือกตั้งก็เดินหน้าหาเสียงต่อ

ส่วนที่มองกันว่าเวลานี้เพื่อไทยเปิดหน้าชนกับกองทัพจนเกิดวิวาทะพาดพิงกันไปมานั้น ภูมิธรรม ชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพื่อไทยไม่ได้มองกองทัพเป็นปฏิปักษ์ แนวคิดเรื่องการปรับลดงบประมาณกองทัพก็เป็นหนึ่งในนโยบายเพื่อหาทางทำให้กองทัพมีประสิทธิภาพในการดูแลกำลังพล เพิ่มประสิทธิภาพ ศักยภาพกองทัพ และชีวิตความเป็นอยู่ของกำลังพลชั้นผู้น้อย

ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่การจัดสรรงบของกองทัพอย่างเดียว แต่เกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณทั้งระบบ เพื่อดึงงบประมาณจากส่วนไหนมาจัดสรรงบประมาณในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อรองรับความยากจนของประชาชนที่ประสบปัญหารุนแรง และรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี มีคนตกงานมากขึ้น รองรับความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สตาร์ทอัพให้ตั้งตัว พัฒนาเศรษฐกิจประเทศ

การจัดสรรงบประมาณกองทัพในความเห็นเรา ก็เหมือนกับหลายคนที่เสนอความคิดของแต่ละพรรค ซึ่งไม่อยากให้คนมองหรือกองทัพรู้สึกว่าสิ่งที่เสนอกระทบ คุกคาม เพราะการเสนอความเห็นเป็นรูปแบบการจัดการทรัพยากรที่มีจำกัด ไปบริการคนในสังคม ซึ่งมีช่องทางเลือกพัฒนาเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ ความยากจนให้ดีขึ้น

ถามว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ยังเป็นการแข่งขันของสองขั้วอยู่หรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นมาตั้งแต่แรก คือกลุ่มอำนาจเดิมที่ได้อำนาจมาจากวิธีพิเศษและอยู่ในอำนาจต่อไป ซึ่งต้องไปตรวจสอบว่าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นหรือไม่หลังกลุ่มนี้เข้ามามีอำนาจ กับอีกขั้วที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งมองว่าจะต้องกระจายอำนาจ ไม่รวมศูนย์ เปิดสิทธิเสรีภาพให้ประชาชนมากขึ้น ซึ่งประชาชนจะได้เลือกสองแบบ คืออำนาจแบบปัจจุบัน หรือประชาธิปไตยแบบใหม่

สำหรับโค้งสุดท้ายกับประมาณ 30 วันที่เหลือก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย มองว่า พรรคเพื่อไทยยังอยู่ในหัวใจประชาชน ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้
พี่น้องประชาชนเห็นแล้วว่า พรรคเพื่อไทยพูดได้และทำได้จริง และทำได้จริงมากกว่าที่พูด มีนโยบายแก้ปัญหาให้ประชาชนก็สามารถนำมาปฏิบัติได้จริง จากการพูดคุยเราเห็นประเด็นปัญหา ทำให้การแก้ปัญหาตรงประเด็นในการหยิบนโยบายมาบริหารประเทศ การเลือกตั้ง 20 ปีที่ผ่านมา เพื่อไทยประสบความสำเร็จได้ที่หนึ่งมาตลอด เพราะมีผลงาน มีนักบริหารมืออาชีพ

“วันนี้ไม่ว่าจะต้องเผชิญปัญหาอุปสรรค ความยากลำบากอะไร ที่จะเป็นอุปสรรคขัดขวางการเลือกตั้งไม่ราบรื่น เราเชื่อว่าประชาชนจะยังเลือกและฝากอนาคต ความหวังกับพรรคการเมืองที่บริหารงานแบบมืออาชีพ เข้าใจปัญหาประชาชน เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะประสบชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้” ภูมิธรรม กล่าว