posttoday

"ไม่จำเป็นต้องได้ที่1ทุกเขต" รปช.ตั้งเป้า 3.5 ล้านเสียง 50 ที่นั่ง

10 มิถุนายน 2561

สุเทพ เทือกสุบรรณ ในสถานะผู้ริเริ่มก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) เปิดใจให้สัมภาษณ์กับเส้นทางการเมืองของตัวเองในหมวกใบใหม่

สุเทพ เทือกสุบรรณ ในสถานะผู้ริเริ่มก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) เปิดใจให้สัมภาษณ์กับเส้นทางการเมืองของตัวเองในหมวกใบใหม่

***************************

โดย...ธนพล บางยี่ขัน

แม้จะรู้ว่าตัวเองเป็น “จุดอ่อน” กับเป้าใหญ่ที่จะถูกโจมตีเรื่อง “ตระบัดสัตย์” หวนคืนสนามการเมือง

แต่เหตุใด​ถึงตัดสินใจอาสาเป็น “ขี้ข้าประชาชน” เตรียมหยิบรองเท้าคู่เก่าที่ใช้เมื่อตอนชุมนุม กปปส.ออกมาปัดฝุ่นเดินหน้าหาเสียงให้พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ซึ่งตั้งใจให้เป็นพรรคของประชาชนแท้จริง

สุเทพ เทือกสุบรรณ ในสถานะผู้ริเริ่มก่อตั้งพรรค ซึ่งประกาศไม่ขอรับตำแหน่งในพรรคและตำแหน่งทางการเมืองในอนาคตเปิดใจให้สัมภาษณ์กับเส้นทางการเมืองของตัวเองในหมวกใบใหม่

ทั้งหมดมาจากที่เคยตัดสินใจลาออกจาก สส.มาร่วมต่อสู้กับพี่น้องประชาชน นอนกลางดินกินกลางถนน เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยกัน หลายคนบาดเจ็บพิการ เสียชีวิต 24 คน ​ปณิธานของคนเหล่านั้น ต้องทำให้ประเทศเราอยู่รอดปลอดภัย ต้องปฏิรูปประเทศให้ได้

หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาควบคุมสถานการณ์และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พยายามปฏิรูปประเทศ ซึ่งต้องให้คะแนนเขากับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญตรงเจตนารมณ์ประชาชน มีเรื่องการปฏิรูป การป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ชัดเจนขึ้น

แต่เวลาทำการปฏิรูปจริง ไม่รวดเร็วเพราะต้องรวมความคิดเห็นคนหลายฝ่าย การปฏิรูปประเทศต้องทำอะไรบ้าง ตั้งสภาปฏิรูป กรรมการว่าด้วยการปฏิรูป หลายเรื่องยังไม่ได้ลงมือทำ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเสร็จทันสมัยนี้คือ การปฏิรูปตำรวจ ที่เดิมยกร่างกฎหมายไปเสนอไม่ตรงกับสิ่งที่ประชาชนเรียกร้องต้องการ จึงมีการตั้งกรรมการชุดใหม่ ซึ่ง มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ผลที่จะออกมาน่าจะเป็นไปในทิศทางตรงกับเจตนารมณ์ของประชาชน

“ความจริงการปฏิรูปประเทศ จะต้องมีคนได้รับผลกระทบ มีคนไม่อยากปฏิรูป อาจมีข้าราชการบางฝ่ายบางกลุ่มไม่อยากเปลี่ยนแปลงเพราะพอใจอำนาจที่มีอยู่ แรงเสียดทานเยอะ ปัญหานี้ทำให้ประชาชนอย่างเราต้องคิด อยากปฏิรูปประเทศจึงต้องเดินหน้าตามกรอบรัฐธรรมนูญ”

สุเทพ ขยายความว่า มีพรรคการเมืองไม่น้อยตอนนี้ ประกาศท่าทีชัดเจนว่าไม่อยากเอารัฐธรรมนูญฉบับนี้ พรรคการเมืองไม่จริงจังกับการปฏิรูปประเทศ ทำให้การปฏิรูปเริ่มเลือนลาง ถ้าไม่มีใครที่ประชาชนไว้ใจได้ไปช่วยทำหน้าที่ โอกาสที่จะปฏิรูปประเทศก็ยาก คนที่มีความคิดแบบนี้มาคุยกัน ในที่สุดก็คิดว่าต้องถึงเวลาตั้งพรรคของประชาชนที่แท้จริงขึ้นมาให้ได้

ที่ผ่านมามีพรรคเพราะอยากเป็นฐานทางอำนาจตั้งแต่สมัยจอมพล ป. บางยุคเป็นพรรคของครอบครัว กลุ่มผลประโยชน์ หรือไม่ก็พรรคของนักการเมือง แต่ไม่มีพรรคการเมืองไหน เป็นพรรค​ของประชาชนจริง อำนาจเป็นของประชาชนแท้จริง จึงนำมาสู่การตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย

“อุดมการณ์ข้อแรกของพรรคคือเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เป็นอุดมการณ์ข้อที่หนึ่งของพรรคถ้าตั้งพรรค คนที่เข้าร่วมในพรรคนี้จะต้องเป็นคนที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เทิดทูนและปกป้องสถาบัน เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นความมั่นคงของประเทศ”

ทั้งนี้ ความจงรักภักดีเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ถึงทำให้​ประเทศเราอยู่เป็นปึกแผ่น มีเอกภาพ ไม่แตกแยก งานหลายเรื่องในประเทศ คนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ว่าด้วยพระบารมีของพระมหากษัตริย์แก้ได้ ​ยกตัวอย่างพระพุทธศาสนาที่กำลังมีปัญหาขณะนี้

สุเทพ อธิบายว่า ที่มาของพรรคนี้เป็นลักษณะต่างคนต่างคิด เดิมทีคนไทยคิดกันเรื่องบ้านเมือง คุยกันเรื่องอนาคตประเทศ ทำไงกันดี เลือกตั้งเป็นไง ปรับทุกข์กัน ชวนคนนั้นคนนี้มาพบ ส่วนตัวไปคุยหลายหนเห็นว่าเขาเอาจริง จึงชวนกันมาร่วมก่อตั้งซึ่งประกาศชัดแต่แรกว่าไม่ลงเลือกตั้ง ไม่รับตำแหน่ง บริหารในพรรค เป็นสมาชิกที่จะช่วยทำทุกอย่าง

ทั้งนี้ เป้าหมายของพรรค รปช.ไม่ได้หวังจะต้องเป็นที่ 1 แต่การทำพรรคการเมืองอย่างน้อยต้องมี สส.ในสภาสัก 50-60 คน ถึงจะมีกำลังและพลังผลักดันประเทศให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการได้ ถ้าไปดูรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 กำหนดให้ สส.1 ใน 5 สามารถยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่ลงมติได้

“พรรครวมพลังประชาชาติไทยจะส่งผู้สมัคร 350 เขต ไม่ได้หวังต้องได้ที่หนึ่งทุกเขตได้ที่หนึ่งบ้าง สองบ้าง สามบ้าง แต่ได้คะแนนรวม 3.5 ล้านคะแนนก็สามารถมี สส.ได้ 50 คน เราเห็นลู่ทางว่ามีความเป็นไปได้”

"ไม่จำเป็นต้องได้ที่1ทุกเขต" รปช.ตั้งเป้า 3.5 ล้านเสียง 50 ที่นั่ง

สุเทพ อธิบายว่า การทำพรรคจะต้องมีพลัง มีทุนทำการเมืองได้โดยอิสระ ผู้ร่วมก่อตั้งต้องเสียสละก่อน กฎหมายกำหนดให้มี 500 คน ลงทุนประเดิม 1,000 ถึง 5 หมื่นบาท เราก็ตกลงกันว่าผู้ก่อตั้งต้องลงคนละ 5 หมื่น ส่วนสมาชิกพรรค พรรคอื่นเก็บปีละ 100 บาท พรรคเราจะเสียสละเงินวันละ 1 บาท ปีละ 365 บาท ค่าบำรุงพรรคของพรรคนี้ถึงสูงกว่าพรรคอื่น 3 เท่าครึ่ง วิธีแบบนี้เราเชื่อว่าเราจะมีทุนทำการเมืองเพราะพรรคเราไม่ซื้อเสียง

ถามว่าพรรค รปช.ถูกมองว่าตั้งขึ้นมาเป็นพรรคเฉพาะกิจเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ สุเทพ กล่าวว่า คนก็จินตนาการไปได้ แต่ต้องดูความเป็นจริงในทางปฏิบัติ เพราะ รปช.ต้องการให้เป็นพรรคของประชาชน อยู่เคียงคู่ระบอบประชาธิปไตยและเป็นที่พึ่ง เป็นที่ไว้ใจของประชาชนได้

“เราไม่ได้เล็งผลในการชนะเลือกตั้ง แต่เราเล็งผลในการสร้างคนใหม่ๆ เข้ามาทำหน้าที่ทำงานการเมืองแทนประชาชน คนใหม่ไม่ได้หมายถึงแค่คนหนุ่มคนสาว แต่คนอายุ 60-80 ปี ก็เป็นคนใหม่มาร่วมกับพรรคนี้ได้แต่ต้องมีความคิดเพื่อแผ่นดินไม่ใช่เพื่อตนเองเป็นความคิดใหม่”

สุเทพ กล่าวว่า แม้แต่กรณี เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ก็ยังไม่มีการพูดกันว่าจะมาเป็นหัวหน้าพรรค ความชัดเจนจะอยู่เมื่อมีการประชุมสมาชิกพรรคซึ่งเรียกว่าเป็นการประชุมสมัชชาที่ประชุมพร้อมกันทั่วประเทศผ่านระบบเทเลคอนเฟอเรนซ์คนเป็นแสนๆ คนจะตัดสินว่าจะเลือกใครเป็นผู้บริหารพรรค 9 คน ตกลงกันเลยว่า 2 ปีแรกใครทำหน้าที่หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค 2 ปี ต่อไปใครทำ เพราะไม่ต้องการให้ใครคนเดียวมามีอิทธิพลครอบงำพรรค 4 ปี เลือกใหม่

นอกจากนี้ สมัชชาพรรคจะเลือกกรรมการบริหารอีกชุด คณะกรรมการกำกับควบคุมวินัยและจริยธรรม คุมกรรมการบริหาร สส. รัฐมนตรี ให้ทำงานอยู่ในกรอบจริยธรรม ไม่ปล่อยทำผิดเสียหายบ้านเมือง กรรมการชุดนี้จะจัดการกันก่อนภายในพรรค ทำให้การเมืองสะอาด

“พรรคจะมีสโมสรเยาวชน จะเอาคนหนุ่มๆ สาวๆ มาเรียนรู้เรื่องการเมือง เอาเข้าโรงเรียนการเมืองของพรรค รัฐธรรมนูญเป็นไง โครงสร้างเป็นไง กฎหมายที่เกี่ยวข้องเป็นไง กฎหมายเกี่ยวข้องเป็นไง จนช่ำชองก็จะดึงมาทำงานการเมืองระดับสูงขึ้น พรรคไม่ได้ทำการเมืองเฉพาะกิจ แต่อยู่ยาวให้เป็นที่พึ่งประชาชนให้ได้”​

สำหรับฐานเสียงที่ทับซ้อนจนต้องแข่งกันเองกับประชาธิปัตย์นั้น สุเทพ กล่าวว่า ว่ากันตามจริงทุกพรรคต้องช่วงชิงในทางการเมือง ใครสามารถขอคะแนนนิยมประชาชนในพื้นที่ไหนต้องทำทั้งนั้น พรรคนี้ส่งทุกเขตเลือกตั้ง 350 เขต เราไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูทางการเมืองกับใครทั้งสิ้น ใครก็ตามที่มีเจตนาดีต่อประเทศหวังดีต่อบ้านเมือง ปฏิรูปประเทศให้เจริญรุดหน้าเรายินดีร่วมมือด้วย

ทั้งนี้ รปช.ไม่ได้เป็นศัตรูกับพรรคนั้นพรรคนี้ ส่งทุกเขต ภาคเหนือ อีสาน ต้องแข่งกับพรรคอื่น ไม่ใช่แค่ภาคใต้ต้องแข่งกับประชาธิปัตย์ ย้ำว่าเราไม่จำเป็นต้องชนะการเลือกตั้งทุกเขต เราได้ที่หนึ่ง สอง สาม สี่ แต่คะแนนรวมตามเป้าเราพอใจ เพราะฉะนั้น ขอคนอื่นอย่าได้คิดว่าเราเป็นศัตรู คิดว่ามาร่วมทำงานกับพวกเรากันดีกว่า สร้างบ้านเมืองให้เจริญรุดหน้า

“ผมไม่เคยอยู่พรรคการเมืองอื่นมาก่อนเลย ตั้งแต่ลงสมัครผู้แทนครั้งแรกก็อยู่พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ 2522 เกือบ 40 ปีที่อยู่ในพรรคก็มีส่วนทำงานให้พรรค ทำให้พรรคเจริญเติบโตขึ้น แต่ความรักความห่วงที่มีต่อประชาธิปัตย์ เมื่อเทียบกับความรักความห่วงที่มีต่อประเทศไทย ผมต้องเลือกประเทศไทย ต้องคิดเราทำการเมืองให้ประเทศอยู่รอด ให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤตที่หัวเลี้ยวหัวต่อไปให้ได้”

"ไม่จำเป็นต้องได้ที่1ทุกเขต" รปช.ตั้งเป้า 3.5 ล้านเสียง 50 ที่นั่ง

สุเทพ กล่าวว่า ตอนตัดสินใจร่วมตั้งพรรค รปช. ไม่ได้ไปคุยกับ ชวน หลีกภัย ซึ่งส่วนตัวเคารพท่าน​เหมือนครูบาอาจารย์ทางการเมือง แต่เชื่อว่าระหว่างตนเองกับท่านมีความเข้าใจกัน ท่านชวนเป็นคนรักชาติรักแผ่นดิน เป็นนักการเมืองที่เป็นแบบฉบับตัวอย่าง ซึ่งตนเองได้เรียนรู้จากท่านเยอะ

“ผมเชื่อว่าท่านรู้เข้าใจการตัดสินใจของผมไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของตัวผมเอง ผมคิดเรื่องชาติ เรื่องแผ่นดินเป็นหลัก ผมจำได้วันที่ผมไปเรียนท่านว่าจะลาออกจากพรรค เปลี่ยนเส้นทางการต่อสู้ ​ไปต่อสู้ร่วมกับประชาชน ท่านก็เข้าใจเตือนผมว่าออกไป ​ไม่เป็นไรอย่าทำอะไรผิดกฎหมาย” ​

ถามถึงคะแนนเสียงภาคใต้ที่คาดว่าจะได้รับ สุเทพ กล่าวว่า ประเมินไม่ได้ ไม่ใช่คนเพ้อเจ้อ ​คิดว่าขอให้ประชาชนเข้าใจอุดมการณ์ การทำงานของเรามาลงคะแนนให้ ถึงได้ที่สอง ที่สาม ก็พอใจ จำนวนนี้ ผู้ร่วมก่อตั้ง ผู้เป็นเจ้าของพรรค แสดงให้เห็นว่าอนาคตพรรคเราจะเป็นไง

“ส่วนสุราษฎร์ธานี เกือบ 40 ปีทำงานร่วมกับพี่น้องประชาชนชาวสุราษฎร์ ใกล้ชิด​เชื่อว่าพี่น้องประชาชนชาวสุราษฎร์เข้าใจผม เข้าใจจุดยืนทางการเมือง เข้าใจเป้าหมายทางการเมืองผม ซึ่งมีโอกาส ที่ผมจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งที่สุราษฎร์ได้ ผมเชื่อว่าได้มากกว่าประชาธิปัตย์ ส่วนจะได้เท่าไร ผมไม่รู้”​

ถามว่ารู้สึกยังไงกับอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งออกไปจากพรรคมักจะไม่ประสบความสำเร็จ สุเทพ กล่าวว่า ส่วนตัวแตกต่างจากท่านเหล่านั้น ตนเองไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเอง ดังนั้น ประเมินความสำเร็จยาก เพราะไม่ได้ลงสมัคร สส. แต่ถ้าถามความสำเร็จคืออะไร คือการที่เราตั้งพรรคของประชาชนเป็นครั้งแรกได้ ถือว่าสำเร็จ

ส่วนการส่งคนแข่งขันกับ กปปส. ของประชาธิปัตย์จะมีการยอมหลบให้กันหรือไม่ สุเทพ กล่าวว่า ความรู้สึก ความผูกพันส่วนตัวนั่นเรื่องหนึ่ง​ แต่การทำงานการเมืองก็ต้องเป็นเรื่องของพรรค พรรคนี้ส่งผู้สมัครครบ 350 เขตไม่หลบให้ใครเลย ยกเว้นหาตัวคนไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง​​

ถามว่ามั่นใจหรือไม่จะมีเลือกตั้งตามโรดแมป สุเทพ กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินหน้าสู่เลือกตั้ง เดินหน้าประเทศต่อไปตามวิถีทางประชาธิปไตย ​ทำให้การเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม