posttoday

แรมโบ้กลับใจ...เด็กดีคสช."ผมไม่หักหลังประชาชน"

27 กรกฎาคม 2557

คสช.ต้องขอบคุณผมด้วยซ้ำไปเพราะเสื้อแดงยุติความเคลื่อนไหวไปด้วยเยอะและตัวผมก็ควรได้รับใบประกาศดีเด่นจาก คสช.ว่าเป็นนักเรียนเรียบร้อยในห้อง

โดย...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม/เลอลักษณ์ จันทร์เทพ

“พวกเสื้อแดงโทรมาถามกันวุ่น ทั้งต่อว่า ทั้งชม พี่ต้องปิดไลน์ เปลี่ยนมือถือ ปิดเฟซหมดจะได้มีสมาธิ ไม่ต้องไปปวดหัวฟุ้งซ่าน เพราะเราต้องการให้เกิดการปรองดอง วันนี้ก็ลาออกจากพรรคเพื่อไทยตั้งแต่เดือนที่แล้ว เราก็ถือว่ามีอิสระแล้ว...”

เสียงโอดครวญจาก “สุภรณ์ อัตถาวงศ์” แรมโบ้อีสาน หลังพลิกบทบาทจากแกนนำแดงสายฮาร์ดคอร์ มาเป็นเด็กดีของ คสช. ชั่วข้ามคืนโดยประกาศหันหลังให้ขบวนการเสื้อแดง จนพี่น้องออกมาต่อว่า แรมโบ้ถูกซื้อ เพราะไม่เชื่อว่าแรมโบ้หาญกล้าผู้นี้ อดีตประธานกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ (อพปช.) ตั้งกองกำลังเสื้อแดงอีสานปกป้องยิ่งลักษณ์ เคยลั่นวาจาจะจับอาวุธขึ้นสู้ทันทีถ้ามีการปฏิวัติ ถึงได้เปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้

ไม่ขายตัว ไม่ทรยศ

“ผมยืนยันว่าไม่ได้ทรยศ ไม่ได้หักหลังประชาชน แต่เราอยากเห็นประชาชนมีความสุข มีความรักสมัครสมานสามัคคี ไม่อยากให้มาขัดแย้งกัน เราไม่ได้พูดแบบเอาตัวรอด วันนี้ถ้ามองอย่างนั้นบ้านเมืองจะเดินไปไม่ได้ มัวแต่คิดจะต่อต้าน แล้วเมื่อไรบ้านเมืองจะเดินไปได้ การเมืองมันไม่ไหวแล้ว มันแรงกันไปใหญ่แล้ว ถึงเวลาที่จะต้องเสียสละกันบ้าง เลยขอเป็นตัวอย่างคนแรกที่ยุติบทบาททางการเมือง ถ้ามัวแต่คิดจะเอาชนะคะคานกันเรื่องก็ไม่จบ

“ที่ผ่านมาอะไรๆ ก็โบ้ๆๆๆ ลุยๆๆๆ... สุดท้ายก็มาว่า แรมโบ้ขายตัว แต่คนที่อยู่หลังตู้เย็นล่ะ แบบนี้มันไม่ใช่ วีรชนเราตายวันนี้ผมไม่ได้เห็นแก่ตัว แต่เหนื่อยมามากแล้ว ขอโอกาสให้ชีวิตในบั้นปลายก่อนสิ้นลมหายใจได้ดูแลครอบครัว ชีวิตตัวเองบ้าง อย่าให้ต้องตายคาสนามต่อสู้เลย ใครจะมารับผิดชอบชีวิตผม เหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว พอแล้ว”

สุภรณ์กลายเป็นสัญลักษณ์ปรองดองของ คสช. ล่าสุดเจ้าตัวยืนประกบปลัดกระทรวงกลาโหม ในเวทีมหกรรมปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขให้ คนในชาติ ที่สนามหลวงถ่ายทอดสดทั่วประเทศ ขนาบข้างด้วย วีระกานต์ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. อีกราย

แซวไปว่า ออกทีวีหราเลยวันนั้น เจ้าตัวยิ้มก่อนตอบ “เขาดึงพี่ไปอยู่ข้างหน้า เราอุตส่าห์ไปหลบอยู่ข้างหลังแล้ว...”

อดีตผู้นำกองกำลังเสื้อแดงสายอีสาน ยอมรับว่า ที่ผ่านมาเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาความขัดแย้ง เมื่อมีส่วนผูกก็ต้องแก้

เมื่อ คสช.กำลังแก้ปม ก็ต้องช่วยในฐานะเคยมีส่วนเกี่ยวข้อง พอรู้เห็นปัญหาในสนามต่อสู้ เมื่อ คสช.ขอความร่วมมือให้เข้าไปแสดงวิสัยทัศน์การแก้ปัญหาการเมืองต่อแม่ทัพภาคที่ 2 ได้สะท้อนว่าการเมือง นักการเมือง แบบเก่าก่อให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง การทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดจากปัญหาอะไร ก่อนจะเสนอไปว่าต้องมีกฎหมายที่เด็ดขาด พร้อมยืนยันให้ คสช.มั่นใจคนชื่อแรมโบ้จะไม่กลับมาสู้อีก

“ผมสื่อสารไปยังแม่ทัพภาค 2 ว่าให้ไปเฝ้าผมได้ ผมไม่ทำอะไรแน่นอน แต่ถ้าไม่เชื่อใจกันก็จับผมไปบวชวัดไหนก็ได้ ท่านน่ารักมาก เมื่อท่านได้ยินแบบนี้ท่านก็หัวเราะชอบใจ บอกว่าแรมโบ้เป็นลูกผู้ชายยึดถือสัจจะได้

“ก็ขอ คสช.อย่าไปฟังความข้างเดียว ตอนนี้มีการใส่ร้ายป้ายสี เพราะว่าหมั่นไส้ว่าไอ้นี่ถอยดีนัก ไม่สู้แล้ว ให้ความร่วมมือ คสช.ดีนัก ใส่มันซะเลย ไปปล่อยข่าวต่างๆ นานา เช่น เราไปผ่าตัด    ก็หาว่าถูกยิง กลายเป็นว่าเราไปปลุกระดมกดดันไปสร้างมวลชนเคลื่อนไหวอีก ไปทำบุญใส่บาตรเข้าพรรษาที่เชียงใหม่   ก็หาว่าไปเคลื่อนไหวอีก ดังนั้นฝากไปยัง   เจ้าหน้าที่ทหารว่า ตรวจสอบให้ชัดเจน ใครทำผิดก็ว่าไปตามผิด ใครที่อ้างแรมโบ้ หรือ อพปช. ผมประกาศเลิกแล้ว จากนี้เรื่องใครเรื่องมันให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการเอาเอง อย่ามาให้ผมรับผิด”

ก่อนหน้านี้กลุ่ม อพปช. ของแรมโบ้ ถูกเจ้าหน้าที่ ทหารขยายผลเกี่ยวข้องกับ “ขอนแก่นโมเดล” ขบวนการ  ที่ใช้อาวุธสงคราม สร้างความรุนแรง สุภรณ์ยอมรับว่าถูกทหารเรียกไปสอบสวนแล้ว แจ้งไปว่ารู้จักกับหัวหน้ากลุ่มจริง เคยทำงานด้วยกันเมื่อ 5 ปี   ที่ผ่านมา แต่เขาเป็นคนอุดรธานี สนิทกับทางน้องชาย นิสิต สินธุไพร แกนนำ นปช. แต่ไม่สนิทด้วย และไม่ได้ติดต่อมานานแล้ว

“เขาไปคิดเอง ทำเอง ไปตั้งกลุ่มเอง อย่างว่าผมอบรมคนเป็นหมื่นคน ต้องเข้าใจว่าเสื้อแดงก็คนกลุ่มเดียวกัน พออบรมก็ลากกันไปทำผิด ผมก็บอกแล้วว่าอย่าไปทำผิด แบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ บางคนมาอบรม อพปช.แล้ว อาจจะถูกกลุ่มขอนแก่นโมเดลชักจูงไป ก็รับผิดชอบกันเอง”

ถามไปว่า ตอนตั้งกลุ่ม อพปช.มา 2 เดือน ปกป้องยิ่งลักษณ์ สกัดการรัฐประหาร หมดเงินไปเท่าไร เทียบกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ หมดเงินทำม็อบ กปปส.ครึ่งปีไปพันกว่าล้าน ส่วนพระพุทธะอิสระหมดไป 280 ล้านบาท เจ้าตัวนิ่งสีหน้าถอดใจขึ้นมาทันที

“โถ...อย่าไปพูดถึงเลย มันจบไปแล้ว ไอ้หมดก็คงหมดแหละ หมดทุกอย่างที่ทำงานมา แต่อย่าให้พูด พูดแต่เรื่องสร้างสรรค์ดีกว่า” พูดเสร็จพลางยกมือประนมขึ้นก่อนว่า “ตอนนี้พี่กำลังจินตนาการภาพของ ครม.ใหม่ที่มีหน้าตาสวยงาม ภาพของสมาชิก สนช. สปช. คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กำลังคิดถึงรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง มีนักการเมืองน้ำดีเข้ามา บ้านเมืองได้มีความมั่นคง มีประสิทธิภาพ กำลัง ฝันหวานอยู่”

ประเด็นที่คนเสื้อแดงคาใจต่อจุดยืนที่กลับหลังหัน 360 องศา เพราะขณะนั้นสุภรณ์ประกาศในนาม อพปช. ว่า ถ้าทหารปฏิวัติเมื่อไร จะออกไปจับอาวุธมาสู้เพื่อปกป้องรัฐบาลประชาธิปไตย ไม่ให้อำนาจนอกระบบมาแทรกแซง เรื่องนี้เจ้าตัวชี้แจงว่า จุดยืนของ อพปช.ตอนนั้น แค่ปกป้องนายกฯ ยิ่งลักษณ์ แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ พ้นจากตำแหน่ง อพปช.   ก็ยุติหน้าที่ และไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมกับ นปช. ที่ถนนอักษะ ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ทหารอ้างเงื่อนไขมาปฏิวัติ

“ทหารมีสองพวก คือทหารที่ปล้นอำนาจประชาธิปไตย รัฐบาลบริหารบ้านเมืองอยู่ดีๆ ก็เข้ามายึดอำนาจ แบบนี้เรายอมไม่ได้ อีกพวกเข้ามาแก้ปัญหา อย่างสถานการณ์บ้านเมืองก่อนที่ คสช.จะเข้ามายึดอำนาจประชาชนกำลังจะตีกัน เกิดสงครามกลางเมือง เราเป็นคนไทยเมื่อรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตยได้ถอยแล้วจนถึงวันที่ทหารประกาศกฎอัยการศึก เราก็ให้ความร่วมมือ ประสานไปยังกลุ่ม อพปช.ทุกจังหวัดให้หยุดการเคลื่อนไหว เพราะเห็นว่าการที่ทหาร เข้ามาเคลียร์สถานการณ์ถือว่าเป็นทางออกที่ดี พี่น้องประชาชนจะได้ไม่ต้องมารบให้ เกิดสงครามกลางเมือง ทุกฝ่ายจะได้มีทางลง

...บ้านเมืองมันไปไม่ได้ เราเองในส่วนของกลุ่มเคลื่อนไหวต้องคิดได้ หยุดเคลื่อนไหวทันที เราจะทำตัวเป็นคนไม่มีสมองคิดหรือว่าการที่ทหารเข้ามายึดอำนาจเพื่ออะไร ทหาร คสช.ยุคนี้เขาเข้ามาเพื่อต้องการแก้ปัญหา มาช่วยเรา จะได้มีทางลงทั้งสองฝ่าย” แรมโบ้เคลียร์คำถามคาใจ

อดีตผู้นำเสื้อแดง บอกว่า ไม่สนใจว่าคนเสื้อแดงจะต่อว่าอย่างไร เพราะทุกอย่างตัดสินใจเอง

“ใครจะมาด่า จะนินทา จะตำหนิ เรื่องของมัน พี่ไม่สน ทางใครทางมัน ความคิดใครความคิดมัน|โตกันแล้ว ผมอยู่ถนนสายการเมืองมา 30 ปี ใครจะมาสั่งได้ ถามว่าวันนี้ประสบการณ์ทางการเมืองที่มีเราจะคิดเองไม่เป็นหรือ ไม่ต้องให้แกนนำมากำหนดทิศทางเรา”

แรมโบ้กลับใจ...เด็กดีคสช."ผมไม่หักหลังประชาชน"

ขอร่วมสภาปฏิรูป-นิรโทษทุกสี

“ผมเชื่อว่าพี่น้องเสื้อแดง 90% เข้าใจ จริงๆ คสช.ต้องขอบคุณผมด้วยซ้ำไป เพราะพี่น้องเสื้อแดงยุติความเคลื่อนไหวไปด้วยเยอะ และตัวผมเองก็ควรจะได้รับใบประกาศดีเด่นจาก คสช.ด้วยซ้ำว่าเป็นนักเรียนเรียบร้อยในห้อง ควรได้ใบรับรองความประพฤติดีเด่น เพราะทำดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เคลื่อนไหว เราอยากเห็นบ้านเมืองปรองดองจริง”

ต้องเคลียร์ใจกับแกนนำ นปช.กันไหม? แรมโบ้ตอบหนักแน่น “ไม่มีไม่ต้อง ไม่เจอ ไม่ต้องไปทำความเข้าใจกับใคร เพราะเรายุติบทบาทแล้ว แกนนำเองเขาก็โตๆ กันแล้ว แต่ละคนก็มีประสบการณ์ทางการเมือง คิดได้เองว่าบ้านเมืองจะเดินไปยังไง

“ที่ผ่านมาก็ไม่เคยไปโจมตีหรือทำอะไรกับผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยให้|เสียหาย และไม่เคยทะเลาะผู้ใหญ่คนไหน เมื่อตัดสินใจวางมือไม่ยุ่งการเมืองคือไม่ยุ่งจริงๆ ดังนั้น|ผู้ใหญ่จะมาโกรธพี่ไม่ได้ ชีวิตก็ 50 กว่าแล้ว จะมาบอกว่าผมไม่มาช่วยพรรค มันไม่ใช่ ตอนนี้สุขภาพก็แย่ ครอบครัวก็แย่ ทำการเมืองมานาน ขอให้ผมมีอิสระในตัวเอง ให้มีโอกาสได้ทำสาธารณประโยชน์แก่สังคมบ้าง คนเราถ้าอายุ 60 ก็แย่แล้ว 70 ปี ก็ไปแล้ว ขอเวลาสิบกว่าปีที่เหลือให้เป็นอิสระ    ในชีวิต อย่าต้องไปเป็นส่วนหนึ่งในมติอะไรต่างๆ อีกเลย”

คิดว่าบทบาทของ นปช.ควรจะยุติบทบาทเหมือน อพปช.หรือไม่ เจ้าตัวตอบว่า ถ้าบ้านเมืองกลับมาสู่ประชาธิปไตยแล้วก็ควรยุติการเคลื่อนไหวใดๆ ให้หมด ควรไปช่วยกันผลักดันรัฐธรรมนูญให้เป็นของประชาชนจริงๆ เพื่อให้มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีการทุจริต ได้นักการเมืองน้ำดีเข้ามา ทุกอย่างควรจะจบ ไม่ควรทะเลาะกันอีกแล้ว

“ให้เขาปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปกฎหมาย ปฏิรูปการเมืองให้คนรุ่นใหม่เข้ามาเล่นดูบ้าง คนเก่าๆ ก็วางมือกันดูบ้าง ถอยดูบ้างว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันเราก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ เป็นส่วนหนึ่งให้บ้านเมืองเดินไปได้ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง เราจะเดินไปในทางสายกลาง อะไรที่เราช่วยได้เราช่วย เราจะไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ขอให้ทุกคนอดทนรอ อีก 1-2 ปี ไม่นานเกินรอ ขอฝากพี่น้องทุกคนอย่าไปต่อต้าน ให้อยู่ในความสงบ แล้วจะไม่คิดกลับมาสู้กันใหม่แล้ว บ้านเมืองบอบช้ำมามาก ใครจะกลับมาสู้ก็สู้ไป แต่ผมไม่เอาด้วย”

อดีตรองเลขาธิการนายกฯ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังเสนอตัวด้วยว่า พร้อมเข้าไปช่วยงานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ด้านปรองดอง เพราะอยากเอาประสบการณ์ไปชี้แนะให้เกิดการแก้ไข

“ขอโควตา คสช.ให้ก็แล้วกัน บอกหัวหน้าประยุทธ์ขอโควตาหน่อย” แรมโบ้ทำเสียงออดอ้อน

ข้อเสนอปรองดองของสุภรณ์ คือ คสช.ควรล้างคดีการเมือง ทุกเสื้อสีให้หมด ยกเว้นคดีอาญา คดีส่วนตัวก็ปล่อยให้ว่ากันไป เพื่อให้ทุกสีเสื้อพอใจ หันหน้ามาร่วมมือแก้ปัญหาเพราะทะเลาะกันมา 10 ปีแล้ว แต่ถ้า คสช.กลัวว่าหากล้างคดีแล้ว ต่อไปในอนาคตจะเกิดปัญหาซ้ำกันอีก ก็ต้องวางกติกาว่า ถ้าใครยังคิดจะสร้างความปั่นป่วนอีกก็ควรจะโดนโทษหนักเป็นสองเท่า

แรมโบ้กลับใจ...เด็กดีคสช."ผมไม่หักหลังประชาชน"

แม่ขอให้ถอย

ชีวิตสุภรณ์หลังยุติบทบาทแกนนำม็อบ มีโอกาสกลับโคราชไปอยู่กับแม่วัย 82 ปี ที่อ.ครบุรี    หลังจากไม่ได้ดูแลมาเกือบ 10 ปีเพราะทุ่มให้กับเกมพะบู๊บนท้องถนน นอกจากนี้ ยังได้พักผ่อนดูแลสุขภาพผ่าตัดใหญ่กับปัญหาหมอนรองกระดูก

“เมื่อเราไม่หวังตำแหน่งลาภยศ อำนาจ มันมีความสบายใจ กลับมาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ดูแลแม่ ลูกเต้า ใช้ชีวิตสามัญชนปกติธรรมดา ต่อไปไม่ต้องมาเรียกแล้วแรมโบ้อีสาน เพราะมันจบแล้ว ปล่อยให้เป็นตำนานทางการเมืองของไทย หลังจากนี้ก็หวังจะมุ่งช่วยงานสาธารณะประโยชน์ หรือไปช่วยบรรยายพิเศษ ไปเป็นอาจารย์พิเศษที่ใดซักแห่ง นี่อีกไม่กี่วัน วันที่25ส.คนี้ ลูกชายอายุ26ปี ก็จะแต่งงานที่เชียงใหม่ แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่า จะเชิญใครจะเชิญหัวหน้าคสช.ก็ไม่กล้า”สุภรณ์ หัวเราะ

ภาพข่าววันนั้น หลังทหารปล่อยตัวขณะควบคุมได้ 7 วัน  มารดาแรมโบ้  “สุ้น อัตถาวงศ์” พร้อมด้วยญาติพี่น้อง ขับรถ 2 คันมารอรับกลับบ้าน ทันทีที่สุภรณ์ได้พบ ก็ก้มกราบแทบเท้ามารดาด้วยน้ำตา พร้อมกับหอมแก้มด้วยความคิดถึง

เจ้าตัว เล่าว่า หลังจากกลับมาอยู่กับครอบครัวแล้ว มีความสุขมาก แม่เองก็สั่งให้ถอย ทุกคนในครอบครัวขอให้ยุติบทบาท เพราะสงสาร ที่ผ่านมาเหนื่อยและลำบากมาก ทางการเมืองก็ไม่ได้จะมาช่วย อะไรมาก เส้นทางการเมืองก็ถือว่าสุดแล้ว

“ผมเป็นคนที่รักแม่มาก แม่สอนลูกให้เป็นคนดี ถือว่าเป็นครูสำคัญ เหมือนพระอรหันต์ ผมกลับบ้านไปจะกอด จะหอม จะกราบเท้าตลอด ไม่เคยทอดทิ้ง แม่ลำบากมามาก เลี้ยงลูกทั้ง8คนให้จบปริญญาโททั้งหมด ผมเป็นคนที่6 ที่สำคัญคือ ตอนนี้อายุแม่82ปีแล้ว ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้ดูแลแม่เลย ทุกวันนี้ต้องกลับบ้านทุกอาทิตย์ ไปหาแม่ จากเดิมไม่เคยได้ดูแล รู้สึกว่าความสุขในครอบครัวกลับคืนมา

...ผมพาแม่ไปหาหมอ ตรวจสุขภาพ ความดัน เบาหวาน อุ้มแม่ นี่คือชีวิตที่มีความสุขที่สุดโอกาสนี้ที่ได้กลับมาอยู่กับแม่ ใครจะว่ายังไงก็ช่าง แม่จะป่วย จะตายไม่มีใครมาช่วยได้หรอก”

สุภรณ์ บอกด้วยว่า หลังจากเคลื่อนไหวทางการเมืองมา 10 ปี คดีการเมืองมีติดตัวมากเหมือนแกนนำคนอื่นๆ  ต้องใช้เวลาขึ้นศาลไม่จบสิ้น ขณะเดียวกัน ร่างกายก็แย่  หมอนรองกระดูกเสื่อมทรุดไปหมด เพิ่งไปผ่าตัดไปหลายส่วน ตอนนี้กำลังกายภาพฟื้นฟูร่างกายให้เหมือนเดิม

“ใครจะว่าขายตัวว่าอะไรก็ตามอัธยาศัย ไม่สนใจไม่แคร์ ยุติแล้วคือยุติ ใครจะโกรธจะเกลียดก็ปล่อยไป ไม่สนใจ สนใจชีวิตเราดีกว่า เวลาแม่ป่วย พวกคุณพาแม่ผมไปหาหมอไหม เวลาผมไม่สบายนอนปวดทรมาน พาไปหาหมอไหม หรือเวลาผมไปขึ้นศาลคุณไปขึ้นศาลกับผมไหม

แรมโบ้กลับใจ...เด็กดีคสช."ผมไม่หักหลังประชาชน"

ชูยาแรงปราบโกง"ยึดทรัพย์-ประหารชีวิต"

หลายคนยังไม่เชื่อกับคำประกาศปิดฉากทางการเมืองของ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ซึ่งต้องติดตามสัจจวาจานี้ว่าจริงหรือไม่ กระนั้น เส้นทางบนถนนอำนาจของแกนนำเสื้อแดงได้ผ่านมากว่า 30 ปี เริ่มจากการเป็นผู้ช่วยผู้ดำเนินงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา สส.นครราชสีมา พรรคกิจสังคม เรื่อยมาจนเป็นผู้ติดตาม มนตรี ด่านไพบูลย์ มาสังกัดพรรคความหวังใหม่ ต่อด้วยลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ครั้งแรกที่ จ.นครราชสีมา สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในปี พ.ศ. 2539 แต่ไม่ได้รับเลือก

การเลือกตั้งปี 2544 แรมโบ้อีสาน ลงสมัครอีกครั้งในสังกัดพรรคไทยรักไทย และได้รับเลือกเป็น สส.ครั้งแรก ต่อมาในปี 2555 สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง ได้รับตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่หลักเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน เคลียร์ปัญหากับกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งภาคประชาชนและการเมือง

สุภรณ์ คลุกคลีอยู่กับการเมืองมานาน ได้เสนอแนวทางการปฏิรูปการเมืองไว้ว่า สิ่งแรกที่จะสามารถสกัดกั้นการคอร์รัปชั่นได้ คือการเมืองต้องกำหนดบทบาทของ สส.ให้อยู่ในขอบจำกัด ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ให้แยกกันแบบชัดเจน เพื่อที่จะได้ไม่มีใครอยากจะแข่งขันหรือทุ่มทุนสร้าง เช่นอยากเป็น สส. โดยต้องแลกกับเงิน 50 ล้านบาท แล้วคิดไปถอนทุนคืนภายหลังได้ตำแหน่ง

“ส่วนคนที่อยากจะเป็นรัฐมนตรีแล้วคิดว่าเข้าไปจะคอร์รัปชั่น พวกนี้ต้องใช้กฎหมายยาแรง เด็ดขาดถึงขั้นประหารชีวิต ยึดทรัพย์ทั้งตระกูล ถ้าเป็นแบบนี้ใครก็ไม่กล้าคอร์รัปชั่น สำหรับ สส. สว. ต้องกำหนดบทบาทให้ชัดว่ามีอำนาจแค่ไหน เพราะถ้าเข้าไปก้าวก่ายแล้วหาผลประโยชน์ ต่อไปจะเกิดการคอร์รัปชั่นอย่างมหาศาล แต่ถ้าอำนาจหน้าที่ถูกจำกัด ไม่มีบทบาท เป็นเพียงแค่ตัวแทนประชาชนไปออกกฎหมาย ไม่มีอำนาจอภิสิทธิ์พิเศษอะไร จะช่วยลดการคอร์รัปชั่นไปได้มาก ดังนั้นต้องคิดสูตรสกัดทุกช่องทาง ขณะเดียวกันต้องสกัดข้าราชการด้วย อย่ามองเพียงนักการเมืองฝ่ายเดียว ถ้าจับได้ว่าข้าราชการไปให้ความร่วมมือทุจริตคอร์รัปชั่น ต้องมีบทลงโทษแบบยาแรงให้เท่ากัน” สุภรณ์ อธิบาย

ประเด็นการปฏิรูปพรรคการเมือง ต้องหามาตรการให้พรรคไม่สามารถสั่งให้ สส. สมาชิกพรรค หรือรัฐมนตรี ซ้ายหัน ขวาหันได้ แต่ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นให้ สส.ไม่ต้องสังกัดพรรค เพราะมีข้อเสียคือ สส.บางคนจะไปขายตัว เช่น เพื่อสนับสนุนโหวตนายกรัฐมนตรี โหวตรัฐมนตรี ซึ่งมันไม่ใช่บทบาทที่ สส.ควรจะทำ จะเห็นว่าการขายตัวในอดีตมีประโยชน์ เพื่อให้อีกพรรคหนึ่งสามารถตั้งรัฐบาลได้ เหมือนสมัยงูเห่า ดังนั้น สส.ต้องไม่มีสิทธิที่จะโหวตเลือกรัฐบาล เลือกนายกฯ ห้ามก้าวก่ายหน้าที่ฝ่ายบริหาร ต้องตัดตอนวงจรตรงนี้ออกไป

หลังจากที่มีการคิดค้นสูตรการปฏิรูปการเลือกตั้งและข้อเสนอที่ว่าให้ สส.มีสัดส่วนมาจากการสรรหา มาจากกลุ่มอาชีพ นั้น สุภรณ์ สำทับข้อเสนอแนะและข้อทักท้วงไว้อย่างน่าคิด

“ส่วนตัวรูปแบบการสรรหาไม่ได้ขัดข้อง แต่ต้องดูที่มาที่ไปของคณะกรรมมาสรรหาว่ามาอย่างไร เป็นคนมาจากกลุ่มไหนหรือไม่ บริสุทธิ์หรือไม่ เป็นกลางหรือไม่ แต่ถ้าเป็นคนที่สามารถล็อบบี้ได้ เอาแต่พรรคพวก เพื่อนพ้อง ก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน อะไรก็แล้วแต่มาจากประชาชนดีที่สุด เช่น หาก สส.ต้องมาจากกลุ่มอาชีพ ก็ให้สมาชิกกลุ่มอาชีพเลือกเข้ามา ทั้งหมดอยู่ที่หลักการคิด การเขียนข้อกฎหมายว่าจะกำหนดข้อพึงระวังเหล่านี้อย่างไร แต่ยืนยันว่าหากมาจากการแต่งตั้งยังไงก็ไม่ถนัด”

เมื่อพูดถึงบทบาทสำคัญของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่สุภรณ์อยากจะเสนอตัวเข้าไปช่วยในการมีส่วนร่วม เพื่อเป็นสวนหนึ่งของการช่วยผลักดันการเดินหน้าประเทศ

“จุดสำคัญของ สนช. คือหัวใจที่บริสุทธิ์และคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จะต้องช่วยกันในการแสดงความบริสุทธิ์และจริงใจ เห็นอะไรที่เป็นประโยชน์เหมาะสมก็ควรจะทำ และต้องตัดวงจรอุบาทว์ ช่องโหว่ของการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างไรออกไปให้ได้ นี่คือสิ่งที่คุณต้องแสดงออกมาในการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อแก้กฎหมายร่วมกัน เพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน ให้ประเทศมีรัฐธรรมนูญที่ดีแม้จะไม่สมบูรณ์ที่สุด แต่ก็ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคมไทยมากที่สุด

แรมโบ้อีสาน ในฐานะที่เป็นหนึ่งในวงจรความขัดแย้ง มองปัญหาการเมืองว่า เกิดจากหลายปัจจัยประกอบด้วย

1.อำนาจ โดยเฉพาะอำนาจของพรรการเมือง ของฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติข้าราชการ ที่มีมากไป เพราะอะไรที่มากเกินไป อำนาจจะถูกใช้ในทางที่ผิดจะก่อเกิดปัญหามากมาย บ้านเมืองไปไม่ได้ การปฏิรูปครั้งนี้จะต้องลดบทบาทเรื่องของอำนาจ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม และความเสมอภาคก็จะตามมา สุดท้ายประชาชนจะได้ประโยชน์สูงสุด

2.จิตสำนึกบทบาท หน้าที่ความรับผิดชอบ สิ่งนี้คือสิ่งที่ทุกคนต้องตระหนักให้มาก จะอยู่ในบทบาทของตัวเองอย่างไร อย่าทำอะไรที่นอกเหนือกติกาที่ถูกกำหนดไว้

3.การทุจริตคอร์รัปชั่น ต้องออกข้อกฎหมายแบบยาแรง ยึดทรัพย์ ประหารชีวิต เพราะถือว่าเป็นภัยอย่างร้ายแรงต่อประเทศชาติ

4.ข้อกฎหมาย กฎหมายเมืองไทยมีมากเกินไป อีกทั้งยังมีช่องว่าง ที่ถูกนำมาเอื้อประโยชน์ ให้ทั้งฝ่ายการเมือง ข้าราชการเข้ามาแสวงหาอำนาจได้ เราต้องไปแก้ ไปลดทอน ปรับปรุง กระชับข้อกฎหมาย ให้ทันต่อภาวะโลก ภาวะเหตุการณ์ในปัจจุบัน ต้องโละทิ้งกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ในการทุจริตคอร์รัปชั่นออกไป ขณะเดียวกันหากกฎหมายมีมาก เมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้น ต่างคนจะยึดกฎหมายที่ตัวเองเป็นฝ่ายถูกต้อง หรือผิดน้อยที่สุด สุดท้ายก็คุยกันไม่รู้เรื่อง จนกลายเป็นปัญหาเหมือนที่ผ่านมา

เมื่อร่ายมาถึงปัญหาของประชาชน แน่นอนหนีไม่พ้นเรื่องของม็อบที่ทุกรัฐบาลต้องเจอ และรับมือแก้ปัญหา เพราะม็อบมักสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาล

“ต้องเข้าใจว่าม็อบมี 2 ประเภท คือม็อบชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องปากท้อง ที่รัฐบาลต้องรับทุกเรื่องราวแล้วรีบนำปัญหาไปแก้ไข แต่สำหรับม็อบการเมืองที่ถูกจัดตั้งขึ้น ตอนนี้ถึงเวลาแล้วอยากให้ทุกกลุ่มอย่า|เคลื่อนไหว ให้อดทนรอ ให้โอกาสรัฐบาลชั่วคราว ให้โอกาส คสช.ในการแก้ปัญหา เราทะเลาะกันมานับ 10 ปี บ้านเมืองบอบช้ำมามาก” อดีตรองเลขาธิการนายกฯ ขอร้อง

เมื่อถามถึงข้อเสนอ ให้ คสช.ล้างคดีการเมืองนั้น รวมถึงคดีในส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยหรือไม่ สุภรณ์ได้แต่ยิ้มเล็กๆ พูดอ้อมแอ้มว่า “อันนี้ขอไม่ออกความเห็นนะ เดี๋ยวจะไปก้าวล่วง”