posttoday

เปลี่ยนไป

21 เมษายน 2554

เหนื่อยใจกับรัฐบาลนี้เสียเหลือเกิน

เหนื่อยใจกับรัฐบาลนี้เสียเหลือเกิน

เพราะหลังจากมีมาตรการตรึงราคาน้ำมันรอบใหม่ด้วยการงดเก็บภาษีสรรพสามิต

ก็มีความพยายามต่างๆ นานา มาอธิบายว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้อง

แต่สิ่งที่พูดเหมือนเป็นความจริงครึ่งเดียว หรือพูดไม่หมด

อย่าง กรณ์ จาติกวณิช ขุนคลัง บอกว่า รัฐบาลไม่ได้เอาภาษีมาชดเชย ตรงกันข้ามเป็นการงดการจัดเก็บภาษีจากประชาชนมากเสียกว่า

ประทานโทษ เป็นการพูดแบบข้างๆ คูๆ หรือเปล่า

การไม่เก็บภาษีน้ำมัน มันก็เหมือนกับเอาภาษีมาใช้นั่นแหละ เพราะเงินที่หายไปก็คือเงินภาษีดีๆ นั่นเอง

นอกจากนั้น ยังมีความพยายามบอกว่ารัฐบาลเก็บภาษีเกินเป้า การเอาเงินมาตรึงดีเซลเพื่อให้ประชาชนเดือดร้อนจากของแพงผิดตรงไหน

แต่สิ่งที่ไม่ได้พูดก็คือ รัฐบาลตั้งงบประมาณขาดดุลอย่างต่อเนื่องปีละ 3-4 แสนล้านบาท เป็นการใช้จ่ายเกินตัวมากกว่ารายได้อยู่แล้ว

ในเมื่อเก็บภาษีได้มากยิ่งขึ้น สมควรเอาไปแก้ปัญหาขาดดุลงบประมาณก่อนตามหลักวินัยการคลัง หรือถ้าจะใช้ควรใช้สำหรับโครงการลงทุน หรือพัฒนาประเทศ ไม่ใช่เอามาละลายตรึงดีเซล สร้างนโยบายประชานิยมสมยอม

การตรึงดีเซลยังจะสร้างปัญหาระยะยาว ไม่ก่อให้เกิดการประหยัด ตัวเลขโต้งๆ จาก กรมธุรกิจพลังงาน ระบุชัด ในเดือน มี.ค. ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินปรับลดลงจากเดือน ก.พ. 7% มาอยู่ที่ 19.8 ล้านลิตรต่อวัน เนื่องจากราคาสูง คนเลยประหยัด

แต่น้ำมันดีเซลตัวเลขกลับเพิ่ม 4% มาอยู่ที่ 55.6 ล้านลิตรต่อวัน เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลที่ตรึงราคาขายปลีกเอาไว้

เห็นหรือยัง กลไกเศรษฐศาสตร์มันทำงานอยู่เสมอ เมื่อของแพงคนจะประหยัด แต่ถ้าของถูก ยิ่งตรึงราคาก็ยิ่งใช้ยิ่งมันส์

ทั้งหมดเหล่านี้ นักการเมืองรู้ นายกฯ รู้ รมว.คลัง ก็รู้

แต่การเมืองมันทำให้เกิดภาวะหน้ามืดอย่างนี้แหละ

เพราะยิ่งใกล้เลือกตั้ง อะไรมันจะสำคัญกว่าการหาเสียงอีกเล่า