posttoday

เลขาครป.จี้ผบ.ตร. ดูแลคดีการเมืองด้วยตัวเอง อย่าให้ใครแทรกแซง

09 กันยายน 2564

เลขา ครป. ยื่นคำให้การเพิ่มเติม เรียกร้องผบ.ตร.ดูแลคดีการเมืองด้วยตนเองไม่ให้ฝ่ายการเมืองแทรกแซงกลั่นแกล้งและเร่งรัดคดี

เมื่อวันที่ 9ก.ย.64 ที่สน.นางเลิ้ง นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และแกนนำไทยไม่ทน เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนพร้อมกับทนายความและน.ส.ธิษะณา ชัณหะวัณ แกนนำกลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า เพื่อยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรเพิ่มเติมเป็นจำนวน 20 หน้า เพื่อต่อสู้คดีละเมิดพรก.ฉุกเฉินฯ ที่มีการตั้งข้อกล่าวหาโดยไม่ชอบโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากการชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งตนเข้าใจว่าตำรวจถูกกดดันจากฝ่ายการเมือง ให้เร่งรัดคดีเพื่อนัดพร้อมแกนนำไทยไม่ทนทั้งหมดนำส่งผู้ต้องหาต่อพนักงานอัยการในวันจันทร์ที่ 13 กันยายนนี้ เวลา 10.00 น.

วันนี้เลยต้องรีบมายื่นคำให้การเพิ่มเติมประกอบสำนวนเพื่อแก้ข้อกล่าวหา ก่อนที่จะถูกกลั่นแกล้งดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรม เพื่ออธิบายว่าประชาชนออกมาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการชุมนุมโดยสงบและมีการเฝ้าระวังโควิด 19 ไม่ให้เกิดแพร่ระบาดในที่ชุมนุม โดยมีการป้องกันตนเอง ใส่หน้ากากอนามัยและมีการตั้งด่านเข้าออกเพื่อตรวจคัดกรองผู้ชุมนุม แต่ตำรวจที่ตั้งข้อกล่าวหาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษนั้น คงถูกการเมืองกดดันให้แจ้งความแก่แกนนำทุกคนและปัจจุบันยังสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาไม่ครบถ้วนทุกคน บางคนปฏิเสธไม่มารับทราบข้อกล่าวหาโดยมิชอบ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เร่งรัดคดีอ้างกรอบเวลา ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว พนักงานสอบสวนไม่ได้ถูกจำกัดโดยกำหนดเวลา เพราะตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. พิจารณาคดีศาลแขวง ใช้กับผู้ต้องหาที่ถูกจับเพื่อคุ้มครองผู้ต้องหาดังกล่าวไม่ให้พนักงานสอบสวนถ่วงคดี อันเป็นการจำกัดอิสระเสรีภาพของผู้ต้องหา ไม่ใช้ผู้ต้องหาที่มอบตัวและไม่อยู่ในการควบคุมตัวเช่นพวกตน

ดังนั้น ไม่ตำรวจไม่ทราบกฎหมายก็ฝ่ายการเมืองกดดันมาอย่างชัดเจน เพราะขณะเดียวกันนั้น ส่วนหนึ่งของผู้ต้องหาในคดีชุมนุมหน้าทำเนียบ เช่น นายนันทพงษ์ ปานมาศ แกนนำเครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย ยังถูกตำรวจสน.ปทุมวัน นัดพบอัยการเพื่อส่งตัวฟ้องในวันเวลาเดียวกันนี้ด้วย ในคดีละเมิดพรก.ฉุกเฉินฯ ร่วมกับนายชาติชาย แกดำ และพวก ในการชุมนุมหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้การนัดหมายนี้ตรงกันเกือบทุกสน.

ผมคาดว่าตำรวจต้องการส่งฟ้องคดีละเมิดพรก.ฉุกเฉินฯ ทั้งหมด ก่อนที่รัฐบาลจะประกาศยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ และหันมาใช้พ.ร.บ.โรคติดต่อฉบับใหม่แทน เพื่อให้ทันต่อเวลาและเพื่อกดดันแกนนำทั้งหมดทุกกลุ่มให้มีคดีติดตัว เป็นชนักติดหลัง ให้การเคลื่อนไหวในอนาคตติดขัด

ผมจึงอยากให้ผบ.ตร. ลงมาดูคดีการเมืองทั้งหมดโดยตรงเพื่อไม่ให้พนักงานสอบสวนถูกฝ่ายการเมืองกดดัน จนเลือกปฏิบัติในการดำเนินคดี และกลายเป็นการกลัานแกล้งคุกคามแกนนำภาคประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐบาลและออกมาต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมในเวลานี้ เพราะตำรวจไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่ควรถูกใช้ในการเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรม จะต้องอำนวยความสะดวกและเป็นกลางในการดำเนินคดีที่ถูกต้องเป็นธรรมและไม่มีการกลั่นแกล้งทางการเมือง เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ทั้งนายกฯ และตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการเลือกปฏิบัติในทางการเมืองอาจจะต้องถูกดำเนินคดีในอนาคต

นอกจากนี้ ผมอยากเรียกร้องไปยังอัยการและศาลว่า อย่าได้มีความโน้มเอียงทางการเมือง (Politicized) ในการพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับคดีทางการเมืองทั้งหมด เพราะจะทำให้กระบวนการยุติธรรมทำงานบกพร่อง เพราะการประกาศพรก.ฉุกเฉินฯ นี้อาจไม่ชอบด้วยกระบวนการการออกกฎหมายและการบังคับใช้อย่างหว่านแห รวมถึงการไม่ให้ประกันตัวแกนนำในคดีต่างๆ เพื่อต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในภาวะปกติ เหมือนดังที่เกิดขึ้นกับแกนนำราษฎร แกนนำนิสิตนักศึกษาหลายคน ที่ออกมาต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมจนติดโควิด 19 ในเรือนจำ ในที่คุมขังกันจำนวนมาก และไม่อาจปฏิเสธได้ว่า พวกเขาติดโรคติดต่อร้ายแรงเพราะรัฐ ไม่ใช่จากความประมาทเลินเล่อของตนเองจากการชุมนุมทางการเมือง.