posttoday

"กรวีร์" ถาม"จุรินทร์" ปมการแก้ปัญหาราคาข้าวประกันรายได้เกษตรกร

09 กันยายน 2564

"กรวีร์" ลุกถาม รมว.พาณิชย์ แทนชาวนาถึงการแก้ปัญหาราคาข้าวประกันรายได้เกษตรกร ปรับสูตรการคำนวณให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ให้เกษตรกรได้รับประโยชน์ มีรายได้เพิ่มขึ้นได้หรือไม่

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 64 นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ตั้งกระทู้ถามสด การแก้ปัญหาราคาข้าวประกันรายได้เกษตรกร ว่า ตนขอสอบถามนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะที่ดูในเรื่องของการประกันรายได้ มองว่าอะไรคือความสำเร็จของโครงการการประกันรายได้ หากมองว่าความสำเร็จคือการประหยัดงบประมาณ ในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอาจยังไม่ใช่ ซึ่งความสำเร็จของโครงการประกันรายได้อยู่ที่สามารถช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้มากขึ้น จากการขายสินค้าทางการเกษตร ได้มากเท่าไหร่

ทั้งนี้ ตนได้เปิดรับฟังปัญหาโครงการประกันรายได้ราคาข้าวในปัจจุบัน บน เฟซบุ๊ก  ส่วนตัว พบว่า ส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องของต้นทุนในการผลิต ทั้งราคาปุ๋ย ยา น้ำมัน ที่มีราคาสูง ส่งผลให้ราคาข้าวสารที่ไปซื้อกินมีราคาสูงขึ้นด้วย ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มโครงการประกันรายได้ที่จะผลักดันเข้าสู่ในระยะที่ 3 นี้ จึงขอสอบถามรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ 3 ประเด็น คือ 1.โครงการที่กำลังจะประกาศ ระยะที่ 3 นี้ มีแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างไร มีการช่วยเหลือเยียวยาอย่างอื่นเพิ่มเติมในการลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร เช่น ชดเชยค่าเก็บเกี่ยว ค่าพัฒนาระดับมาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เพื่อเป็นหลักประกันให้แน่ใจว่ารอบการเก็บเกี่ยวของเกษตรกรที่จะถึงนี้ เกษตรกรจะได้รับผลประโยชน์ มีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นจากโครงการประกันรายได้ 2.แนวทางในการคิดคำนวณชดเชยเงินส่วนต่าง ที่มีการคิดคำนวณ คือ ราคาประกัน ลบ ราคากลาง และนำมาคูณผลผลิตโดยเฉลี่ยเป็นพื้นที่ (ไร่) จึงได้เท่ากับเงินที่เกษตรกรได้รับการช่วยเหลือเยียวยาในรอบนั้นๆ  การประกันราคาข้าวหอมมะลิ (นอกพื้นที่) เฉลี่ยชาวนาจะได้ส่วนต่างอยู่ที่ 1,049.85 บาท/ไร่ เท่านั้น ส่วนข้าวเปลือกหอมปทุมธานี เฉลี่ยได้ส่วนต่างเพิ่ม เฉลี่ย 172.62 บาท/ไร่

ทั้งนี้ การประกันรายได้ที่ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ที่ต่ำกว่าความเป็นจริง และราคาอ้างอิง ซึ่งไม่มีชาวนาขายได้ตามราคาที่รัฐบาลวางไว้ มีแนวทางในการแก้ไขสูตรเหล่านี้เพื่อให้เกษตรกรได้รับประโยชน์ ตามที่วางนโยบายไว้ อย่างไร

และ 3.สูตรการประกันรายได้ที่เกษตรกรต้องการ คือ ราคาประกัน ลบด้วย ราคาขายที่หน้าโรงสี จะได้เงินชดเชยส่วนต่าง หากเป็นแนวทางนี้ได้ เกษตรกรทั้งประเทศจะลืมตาอ้าปากได้ แต่ทั้งนี้ตามที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ระบุว่า จะติดในเรื่องของคุณภาพของข้าว ซึ่งเรื่องนี้หากเป็นไปได้ตนขอฝากให้รมว.พาณิชย์ ไปคุม และปรับคุณภาพของรายได้ใก้กับเกษตรกร

ทั้งนี้ในการคำนวณการประกันรายได้ ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ ที่มาจากการคำนวณทั้งประเทศ ปัญหาของการคำนวณแบบนั้นคือในพื้นที่ภาคกลาง ที่อยู่ในพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ชลประทาน ผลผลิตต่อปี ข้าวเปลือกเจ้าอยู่ที่ไร่ละ 610 ก.ก. ข้าวหอมปทุมธานี ไร่ละ 685 ก.ก ซึ่งถือว่าต่ำกว่าความเป็นจริงกว่า 10% ทำให้ชาวนาเสียเปรียบ ซึ่งในความเป็นจริงข้าวเปลือกเจ้า จะได้ผลผลิตอยู่ที่ 800-900 ก.ก./ไร่ ส่วนข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 850-1,000 ก.ก./ไร่

นายกรวีร์ กล่าวว่า "หากเป็นไปได้ขอให้ปรับการคำนวณให้สอดคล้องกับความเป็นจริงตามพื้นที่ หรือแบ่งตามโซนนิ่ง เพื่อให้เกษตรกรได้รับผลผลิตใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้นได้หรือไม่ ทางด้านคุณภาพข้าวที่ เกษตรกรมีการขายข้าว ทั้งไม่มีการวัดความชื้น/ สิ่งเจือปน ได้ราคาตันละ 6 พันกว่าบาท แต่ราคากลางที่ประกาศอยู่ที่ 9 พันบาทเศษ และมีราคาแบบนี้ทั้งประเทศก็ไม่ต่างกัน จึงขอให้รมว.พาณิชย์ กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรมการค้าภายใน ในแต่ละจังหวัดต้องมีการเข้มงวด กวดขันอย่าให้โรงสีเอาเปรียบพี่น้องเกษตรกรชาวนา ซึ่งเขาถูกการคำนวณ ด้วยสูตรที่ต่ำกว่าความเป็นจริงก็หนักพอแล้ว แต่ต้องมาเจอการเอารัดเอาเปรียบจากโรงสีอีกทำให้พี่น้องประชาชนอยู่ไม่ได้"

นายกรวีร์ ยังกล่าวต่ออีกว่า "การเพิ่มคุณภาพผลผลิตคุณภาพของข้าว อาจเพิ่มเงินให้กับเกษตรกร การเอาข้าวไปตาก ไร่ละ 1,000 -1,500 บาท เพื่อเป็นหลักการประกันรายได้ รวมกับสิ่งที่เขาไปขายในตลาดเขาจะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจริง ทั้งหมดนี้เป็นคำถาม และเป็นเสียงสะท้อนจากพี่น้องเกษตรกร ผ่านมายังเพื่อนสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ในการเสนอและหาแนวทางออก"

ข่าวล่าสุด

Adobe Firefly รวมพลังโมเดลสร้างวีดีโอ สู่การใช้งาน Runway