posttoday

นายกฯ สั่งกองทัพเร่งตั้ง รพ.สนามเพิ่ม ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก

17 กรกฎาคม 2564

นายกรัฐมนตรี สั่งกองทัพ เร่งจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่ม และจัดกำลังร่วม กทม. เร่งค้นหาเชิงรุก ฉีดยากลุ่มเสี่ยงตามบ้านและแยกผู้ป่วยออกจากชุมชน

เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 64 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ประชุมหน่วยงาน กอ.รมน. นขต.กห. เหล่าทัพ และ ตร. ผ่านระบบ VTC ณ ศาลาว่าการกลาโหม เพื่อเร่งเข้าไปสนับสนุนรับมือกับวิกฤตโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ที่พบแนวโน้มการแพร่ระบาดในประเทศยังสูงต่อเนื่อง

ภาพรวมกองกำลังป้องกันชายแดน ทั้งทหาร ตำรวจ ยังตรึงกำลังเฝ้าระวังคัดกรองบุคคลผ่านเข้า-ออกชายแดน และจับกุมผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายได้อย่างต่อเนื่อง สัปดาห์ที่ผ่านมา จับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองได้ถึง 248 คน (สปป ลาว 110 คน กัมพูชา 69 คน เมียนมา 25 คน และจีน 4 คน) โดยเจ้าหน้าที่ต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง เพื่อหยุดและลดความเสี่ยงของการกระจายเชื้อสายพันธุ์ใหม่ในพื้นที่ชายแดน

ขณะเดียวกัน กำลังทหาร ตำรวจ ยังคงกระจายกันควบคุมดูแลแคมป์คนงาน 606 แห่ง ในพื้นที่ต่างๆ ของ กทม. พร้อมทั้งจัดตั้งจุดตรวจ/ด่านตรวจ 88 จุด ในพื้นที่ต่างๆ ทำความเข้าใจกับประชาชน และเข้มงวดบังคับใช้กฎหมายตามข้อกำหนดควบคุมการเคลื่อนย้ายของประชาชน และการรวมกลุ่มในกิจกรรมเสี่ยง เพื่อให้เกิดผลทางปฏิบัติในการควบคุมโรคอย่างจริงจังร่วมกัน

ขณะที่ความร่วมมือเร่งหยุดเชื้อในพื้นที่กรุงเทพฯ กองทัพได้จัดกำลังร่วมกับ กทม. ทำหน้าที่ชุดตรวจค้นหาเชิงรุก (CCRT) จำนวน 69 ชุด และเตรียมจัดเพิ่มเป็น 188 ชุด เร่งเข้าชุมชนต่างๆ ใน 50 เขต ตรวจคัดกรองแยกผู้ป่วยออกจากบ้านและชุมชน เข้ารับการรักษาในระบบ พร้อมทั้งฉีดวัคซีนให้กับผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงตามบ้านในคราวเดียวกัน ระหว่างวันที่ 15-25 ก.ค.64 เพื่อลดความเสี่ยงการเจ็บป่วยถึงชีวิต

พล.อ.ชัยชาญ ได้ย้ำข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขอให้ทุกเหล่าทัพให้ความสำคัญ คงความเข้มข้นเฝ้าระวังพื้นที่ชายแดนต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย พร้อมทั้งขอให้สำรวจพื้นที่ในหน่วยทหาร ขยายผลจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติมในจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่ 10 จังหวัดสีแดงเข้ม และเตรียมบุคลากรทางการแพทย์แถวสองและอาสาสมัคร เพื่อดูแลรองรับผู้ป่วยที่มีแนวโน้มมากขึ้นให้เพียงพอ