posttoday

ศาลอาญาแจงเหตุ7แกนนำราษฎรไม่ได้ประกัน

30 เมษายน 2564

อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาแจง7แกนนำราษฎรไม่ได้ประกันทนายเขียนคำร้องไม่เสนอเงื่อนไขจะไม่ทำกระทำซ้ำต่างกับ"สมยศ-ไผ่-หมอลำแบงค์"ที่ได้ประกัน

เมื่อวันที่ 30 เม.ย.64 นายสิทธิโชติ อินทรวิเศษ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวถึงหลักเกณฑ์การปล่อยชั่วคราว กรณียกคำร้องเเกนนำม็อบราษฎรหลายครั้งว่า การปล่อยชั่วคราวตามสิทธิสามารถกระทำได้ตลอด แต่ต้อง ดูป.วิอาญาเกี่ยวกับเรื่องการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวว่าก่อนหน้านี้ที่ศาลไม่ให้ประกันเป็นเพราะอะไร เพราะที่ศาลมีคำสั่งให้ประกันก่อนหน้านี้เพราะว่าเราพิจารณาตามลักษณะภาพและการกระทำ พฤติการณ์ของจำเลยแต่ละคนในคดีที่ถูกฟ้องว่าได้กระทำอะไรบ้างจึงไม่อนุญาต โดยอาศัยหลักตามมาตรา 108/1 ที่ว่าหากให้ประกันแล้ว เกรงว่าจะไปก่อเหตุภยันตรายประการอื่น

“โดยเหตุนี้มีความหมายว่า เป็นเรื่องที่เคยกระทำมาแล้วๆจะกลับไปกระทำอีก ส่วนผิดหรือไม่ผิดเอาไว้อีกที ในเมื่อยื่นฟ้องมาเเล้วว่า คุณทำอย่างนี้ ปล่อยคุณไปก็ไปกระทำอีกอันนี้ก็เป็นเหตุอันตรายประการอื่นก็ได้ หรือเป็นเหตุอันตรายประการอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคดีนี้คือไปก่อเรื่องอื่นที่ผิดกฎหมายเรื่องอื่นอันนี้ก็อยู่ในของนัยยะคำนี้ ศาลก็พิจารณาถึงข้อนี้จึงไม่อนุญาตไป” อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาระบุ

นายสิทธิโชติ กล่าวอีกว่า การขอประกันครั้งต่อไป จึงต้องดูว่าสิ่งที่ศาลไม่อนุญาตเพราะเหตุใด และจำเลยหรือผู้ต้องหาจะสามารถแก้ไขเหตุนั้นหรือทำให้เหตุนั้นมันเปลี่ยนเเปลงไปเเล้ว เหมือนกรณีของ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ,นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน เเละนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ ที่ทั้ง 3 คน ได้แถลงต่อศาลเองว่า จะไม่กระทำเเบบเดิม เเละศาลก็รับเงื่อนไข ซึ่งทั้ง 3 คน นั้นใน ช่วงที่ถูกควบคุมตัวอาจจะไปนั่งคิด พิจารณาขึ้นมาได้ว่า สิ่งที่ทำลงไปมันไม่ควรจะทำและเข้าใจในคำสั่งศาล กับคำว่า"ไปก่อเหตุภยันตรายประกันอื่นซ้ำในสิ่งที่ถูกฟ้องมาจึงได้มาแถลงต่อศาลเองว่าจะไม่กระทำเเบบเดิม มันจึงเป็นเหตุที่ถูกเเก้ไข

เมื่อถามว่า ทนายความอ้างว่าได้ยื่นคำร้องประกันนายพริษฐ์ หรือเพนกวินโดยใช้เงื่อนไขเดียวกับ 3 คนก่อนหน้านี้ที่ได้ประกันตัวไปนั้น นายสิทธิโชติ ตอบว่า ไม่ใช่ ในคำร้องที่ยื่นมาเมื่อวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมามันแตกต่างกับ 3 คนที่ได้ประกันตัว ในหลายประเด็น ของ 3 คนนั้น ตัวจำเลยเองเป็นคนลงชื่อในคำร้องเเละยืนยันต่อศาลขอให้ศาลทำการไต่สวน และแถลงต่อศาลด้วยตนเองว่า จะไม่กระทำลักษณะที่ถูกฟ้องและจะไม่ก่อเหตุร้ายประการอื่น ส่วนข้อกำหนดอื่นก็ให้ศาลสั่ง ซึ่งศาลเองก็ไม่สามารถสั่งอย่างอื่นได้ต้องสั่งตามป.วิอาญามาตรา 108 / 1 ที่ว่าจะไม่ก่อเหตุร้ายประการอื่นศาลก็จะอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว เพราะ จำเลยเป็นคนเสนอเงื่อนไขเองและจำเลยก็เป็นคนแถลงเอง ไม่ใช่ทนายความเป็นคนแถลงแต่ฝ่ายเดียว มันแตกต่างกัน

"ส่วนที่ทนายความยื่นคำร้องเมื่อวานทนายความยื่นเอง ในเนื้อหาก็ไม่ได้พูดถึงเลยพูดเพียงแต่ว่า ให้ศาลกำหนดเงื่อนไขเอา ซึ่งศาลจะไปบังคับเขาก็ไม่ได้ ศาลจะไม่บังคับใคร แต่ว่าหากตัวจำเลยเห็นว่า สิ่งที่ศาลสั่งว่าเกรงจะไปก่อเหตุภยันตรายประการอื่นที่ศาลก็บอกแล้วว่าที่ไม่ให้ประกันเกรงจะไปกระทำซ้ำในความผิดที่ฟ้อง เเละจำเลยตัดสินใจจะไม่กระทำเเบบนั้นอีกพร้อมยอมรับในกระบวนการยุติธรรมอีกศาลก็จะพิจารณา” นายสิทธิโชติระบุ

อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวต่อว่า ที่ต้องระบุเรื่องการยอมรับในกระบวนการยุติธรรมเนื่องจากในตอนหลังมีเหตุแทรกซ้อน ในกระบวนการพิจารณาซึ่งศาลได้กระทำตามขั้นตอนถูกต้องทุกอย่าง เเต่จู่ๆ มาบอกว่าไม่เชื่อถือกระบวนการยุติธรรม และขอถอนกระบวนการพิจารณาถอนทนายพร้อมไม่ลงชื่อ ในรายงานกระบวนพิจารณาพร้อมกับเอารายงานกระบวนพิจารณาไปเขียนเองภายหลังจากที่ศาลลงจากบัลลังก์ไปแล้ว ทั้งที่จริงเเล้วเรื่องนี้อาจจะต้องเข้าข่ายผิดละเมิดอำนาจศาลด้วย เเต่ศาลเห็นว่าเราไม่ ควรดำเนินคดีอะไรที่ฟุ่มเฟือยเกินไป จึงได้มองแต่เพียงว่าเขาไม่ยอมรับกระบวนการพิจารณาเเละไม่ลงชื่อในการพิจารณาคดีต่อไป ตรงนี้มันทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในสิ่งที่จำเลยยืนยันว่า ยินดีที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้เสนอมาทำให้ศาลไม่เชื่อว่าจะกระทำตามเงื่อนไขได้ในกรณีของ3คนในตอนเเรกจึงให้ประกันเเต่นายปติวัฒน์ ที่ยอมรับกระบวนการพิจารณา ส่วนอีก2คนไม่ได้ประกันตัวในครั้งนั้น จนมาภายหลังมีการเปลี่ยนเเปลงเเก้ไขตั้งทนายเเละยอมรับกระบวนพิจารณาตามปกติ จนศาลเชื่อถือว่า ปฏิบัติได้จึงอนุญาตปล่อยนายสมยศเเละไผ่ ซึ่งเราสั่งไปตามกฎหมาย ไม่ได้มีอะไรเเปลกพิสดาร ทุกอย่างมันขึ้นกับข้อเท็จจริงเเบบนี้

“เเต่เมื่อวานทนายไม่ได้ยื่นรายละเอียดว่า เขาจะไม่ทำอะไรบ้างตามที่ศาลเคยสั่งไป สองจำเลยไม่เคยพูดหรือไม่เคยเขียนรายละเอียดอะไรเลย แม้กระทั่งวันที่ออกศาลมาพิจารณาพร้อมกับหมอลำแบงค์ตัวจำเลยคนอื่นก็อยู่ด้วยกันตลอดจำเลยทั้ง7 คนที่ยื่นประกันก็ไม่เสนอเงื่อนไขอะไร เงื่อนไขที่อ้างว่าเจ็บป่วยก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ทางราชทัณฑ์ก็ยืนยันตลอด คือมันไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ตรง สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างความกดดันต่อความรู้สึกผู้พิพากษา ซึ่งผู้พิพากษาจะต้องทำงานโดยปราศจากความกดดันใดๆทั้งสิ้น” อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากล่าวย้ำ

เมื่อถามว่า ในส่วนที่ข้อเท็จจริงไม่ตรงกันเรื่องความเจ็บป่วยของจำเลยกับทางราชทัณฑ์มันจะมีทางพิสูจน์ได้หรือไม่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาตอบว่า ตอนนี้ทางฝ่ายผู้ชุมนุม จะไปยื่นคำร้องต่อราชทัณฑ์ขอเข้าไปพบดูอาการเเละขอนำแพทย์มาตรวจอาการเจ็บป่วยจริงหรือไม่ เเละก็ต้องลองขออนุญาตดูว่าจะใช้แพทย์จากภายนอกได้หรือไม่กรณีเราไม่เชื่อถือแพทย์ข้างในของราชทัณฑ์ ต้นคิดว่าทางว่าจะทันไม่น่าจะขัดข้องรหัสเราขอพาหมอเข้าไปตรวจสุขภาพ สิ่งนี้มันจะเป็นหลักฐาน ที่ดีกว่าการกล่าวอ้างลอยๆสร้างกระเเสมากดดันศาล