posttoday

"เฌอเอม"อ่านแถลงการณ์ Saveบางกลอย ลั่นกลับบ้านไม่ควรโดนคดี

26 มีนาคม 2564

"เฌอเอม-ภาคีSaveบางกลอย" อ่านแถลงการณ์ กลับบ้านไม่ควรโดนคดี จี้รัฐปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข ลั่นจะสู้จนกว่าจะได้กลับใจแผ่นดิน

จากกรณี ชาวบางกลอย จำนวน 7 คน เข้ามอบตัวตามหมายจับที่ สภ.แก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ช่วงเช้าวันที่ 26 มีนาคม หลังจากเดินทางกลับบ้าน บางกลอยบน-ใจแผ่นดิน โดยก่อนหน้านี้ชาวบ้านจำนวน 22 คน ถูกขังในเรือนจำ โกนหัวและปล่อยตัวออกมา ก่อนออกหมายจับเพิ่มอีก 7 คน ในข้อหาบุกรุกพื้นที่อุทยาน นั้น

ล่าสุด วันที่ 26 มี.ค. ภายหลัง 7 ผู้ต้องสงสัย ในข้อหาบุรุกอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้รับการปล่อยตัว ภาคีsaveบางกลอย พร้อมด้วย น.ส.ชญาธนุส ศรทัตต์ หรือ เฌอเอม อดีตผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ 2020 และชาวบางกลอย ร่วมอ่านแถลงการณ์ ภาคีsaveบางกลอย “การกลับบ้านไม่ควรโดนคดี ปล่อยตัวโดยไม่มีเขื่อนไข” โดยมีรายละเอียด ดังนี้

การอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินดั้งเดิมของบรรพบุรุษเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม รัฐไม่ควรอพยพหรือ กระทำการใดๆ ที่เป็นทำลายวิถีชีวิตของชุมชน โดยเฉพาะการทำไร่หมุนเวียนที่เป็นวิถีวัฒนธรรม เป็นความหมายของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ด้วยความเชื่อในการดูแลรักษาป่า เพราะความอุดมสมบูรณ์ของป่า นำมาสู่วิถีชีวิตที่ปลอดภัยและยั่งยืนของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ดังนั้น กะเหรี่ยงจึงมีชีวิต การทำกิน ประเพณี และวัฒนธรรม ที่สอดคล้องกับการดูแลป่า มาอย่างน้อย 109 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนการประกาศกฎหมายป่าไม้ฉบับใดๆ ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย จึงต้องการกลับไปทำกินในที่ดินบรรพบุรุษ บริเวณใจแผ่นดิน ซึ่งเป็นที่ทำกินดั้งเดิมของชุมชนที่ถูกใช้กฎหมายและอำนาจ พรากวิถีชีวิตจิตวิญญาณของพวกเราไป ภายใต้วาทกรรมการอนุรักษ์ ที่กดขี่ประชาชน โดยได้จับกุมชาวบ้านเป็นจำเลย เพื่อสนับสนุนการปล้นชิงพื้นที่ซึ่งเป็นของประชาชน

จนนำมาสู่การเจรจาแก้ไขปัญหากับรัฐบาลด้วยกลไกคณะกรรมการศึกษาแก้ไขปัญหา กรณีบางกลอย ที่แต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี ได้มีคำมั่นสัญญาระหว่างรัฐกับชาวบ้าน ว่ากระบวนการจะนำไปสู่การแก่ไขปัญหาโดยได้มีการประชุมครั้งแรก ในวันที่ 25 มีนาคม 2564 โดยเริ่มจากการชะลอ กระบวนการการดำเนินคดีที่ไม่ถูกต้อง เป็นจุดเริ่มต้นในการแก้ไขปัญหาเพื่อไห้ชาวบ้านได้กลับไปทำกินในที่ดินบรรพบุรุษ บริเวณใจแผ่นดิน ได้อย่างปลอดภัย และสิทธิในการประกันตัว ซึ่งเป็นหลักการสากลที่ว่า ผู้ถูกกล่าวหา ต้องถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะตัดสิน เพื่อต้องการจะคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และผดุงความยุติธรรมของกระชวนการยุติรรรม ได้กำหนดไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน รวมถึงปรากฎในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งมีประเทศไทยกับอีก 172 ประเทศทั่วโลกเป็นภาคีด้วย หลักการที่กล่าวมานั้น เรายืนยันสิทธิในการประกันตัวของชาวบ้านบางกลอย-ใจแผ่นดินโดยไม่มีเงื่อนไข ที่เป็นการบังคับ ลดทอน หรือปิดกั้นสิทธิในกระบวนการการสืบค้นข้อเท็จจริง ของการกลับไปทำกินในที่ดินดั้งเดิมบรรพบุรุษบริเวณใจแผ่นดิน

สุดท้ายนี้ เราขอประกาศว่า ความต้องการกลับไปทำกินในพื้นที่บรรพบุรุษ บริเวณใจแผ่นดิน ของประชาชนภายใต้รัฐที่มีประชาชนเป็นเจ้าของแห่งนี้ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ชอบธรรม ดังนั้น เราปฏิเสรไม่ได้ว่า รัฐบาลซึ่งเป็นกลไกหลักในการบริหารจัดการรัฐของประชาชนแห่งนี้ ต้องรับผิดชอบต่อความต้องการของประชาชน ที่ต้องการกลับไปทำกินในพื้นที่บรรพบุรุษบริเวณใจแผ่นดิน และเราในฐานะประชาชน ยืนยันจะร่วมต่อสู้กับพี่น้องกะเหรี่ยงบางกลอย-ใจแผ่นดิน จนกว่าชาวบ้านจะได้กลับไปทำกินในพื้นที่บรรพบุรุษ บริเวณใจแผ่นดินอย่างเป็นธรรมคนเท่ากัน ชาติพันธุ์ก็คือคน กลับใจแผ่นดินเท่านั้นคือคำตอบภาคีSaveบางกลอย26 มีนาคม 2564

เมื่อถามถึงท่าทีของภาคีSaveบางกลอย ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปนายธัชพงศ์ แกดำ หรือ บอย กล่าวว่า เราจะมีการติดตาม เพราะอย่าลืมว่า ตอนนี้เหลืออีก 20 วัน ที่จะครบกำหนด MOU ที่รัฐบาลได้ทำข้อตกลงไว้ ภาคีSaveบางกลอย ก็ยังคงมีกิจกรรมอยู่ในกรุงเทพฯ สามารถติดตามได้ที่เพจ “ภาคีSaveบางกลอย”นายธัชพงศ์กล่าวต่อว่า ในส่วนของภาคี Saveบางกลอย ดีใจที่พี่น้องได้รับการประกันตัว แต่ยังติดใจในเงื่อนไขที่ศาลไม่ให้พี่น้องเรากลับขึ้นใจแผ่นดิน เรามีความเห็นว่าเขาไม่ได้ผิดอะไร อยู่ดีๆ มาติดเงื่อนไขห้ามกลับใจแผ่นดิน เราไม่เห็นด้วยในเงื่อนไขนี้ แต่ยังดีที่วันนี้พี่น้องเราได้รับการประกันตัว คงจะต้องดูกันต่อไปอีก 20 วัน ฝากติดตามปฏิบัติการของภาคี Saveบางกลอย ด้วย