posttoday

"ธนาธร" อัด หาก"บิ๊กตู่"ยังเป็นนายกฯ หาทางออกประเทศไม่ได้

05 พฤศจิกายน 2563

3แกนนำคณะก้าวหน้า รับฟังข้อกล่าวหา ม.116 "ปิยบุตร" ชี้การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่เป็นผลดีต่อสถาบัน ด้าน "ธนาธร" อัด หากประยุทธ์ยังเป็นนายกฯ ไม่สามารถหาทางออกให้ประเทศได้ ขณะที่ "พรรณิการ์" เชื่อการยัดคดีใส่ฝ่ายเห็นต่างเป็นกระสุนด้าน ไม่ทำให้ประชาชนกลัวอีกต่อไป

เมื่อวันที่ 5 พย. ที่สถานีตํารวจนครบาลพญาไท นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เดินทางเข้ารับฟังข้อกล่าวหาตามหมายเรียกความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 กรณีนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ อดีตพุทธอิสระ เป็นผู้กล่าวหา โดยก่อนที่ทั้งสามจะเข้ารับฟังข้อกล่าวหา นายปิยบุตร กล่าวว่า ขณะนี้ทราบเพียงแต่นายสุวิทย์ เป็นผู้กล่าวหา ส่วนจะอ้างข้อความใด การแสดงออกของพวกเราในเรื่องใดนั้น วันนี้ก็อยากจะมาทราบว่า ข้อความใดเข้าตามมาตรา116 และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งความได้อย่างไร

นายปิยบุตร กล่าวภายหลังการเข้าพบตำรวจ ว่า คดีนี้นายสุวิทย์ได้มอบหมายให้ทนายความเป็นผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยอ้างข้อเท็จจริงการกระทำของพวกเราหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะกรณีของตนนั้น ก็เป็นเรื่องของการเอาบทความ หนังสืองานวิชาการ ตั้งแต่สมัยที่ตนนั้นเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เอาการบรรยายในห้องเรียนที่ตนถูกชกเชิญไปในวิชา TU 101 ไปจนถึงการโพสต์ในเฟซบุ๊กที่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาวิกฤตการทางการเมือง การนำข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมทั้ง 3 ข้อ รวมไปถึงการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เอาเข้ามาคุยกันในพื้นที่ปลอดภัย ในรูปแบบของการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา ซึ่งนำเอาเรื่องทั้งหมดมาเชื่อมโยงในการแจ้งข้อกล่าวหา ในส่วนของคุณธนาธร เป็นเรื่องของวารสารฟ้าเดียวกัน โดยที่คุณธนาธรไม่ได่เป็นกองบรรณาธิการอะไร เพียงแต่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว รวมไปจนถึงเรื่องงบประมาณสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่คุณธนาธรได้ชี้แจงและบรรยายว่ามีปัญหาและข้อท้วงติงอย่างไร ส่วนของคุณพรรณิการ์ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ที่ถูกเชื่อมโยงเข้าข้อกล่าวหาจากการไลฟ์เฟซบุ๊กในที่ชุมนุม

"ถ้านำเรื่องทั้งหมดมาแจ้งข้อกล่าวหานั้นจะเป็นผลเสียอย่างมาก เพราะจะหมายความว่า การอภิปราย การพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในแง่ทางวิชาการ ทั้งในแง่ความหวังดีและปรารถนาดี อาจจะเข้าข่าย มาตรา116 ได้หมดตามความคิดของคุณสุวิทย์ หมายความว่า หากจะพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องพูดเหมือนคุณสุวิทย์และพวกอย่างนั้นหรือ ถึงจะไม่เข้าข่ายความผิด มาตรา116 เพราะถ้าพูดแบบอื่นสุ่มเสี่ยงที่คุณสุวิทย์จะมองว่าเข้าข่าย 116 หมดเลย กลายเป็นว่าความพยายามที่พวกเราจะหาทางออกในวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ด้วยการใช้กลไกของรัฐสภา สร้างพื้นที่ปลอดภัยของนักศึกษาได้นั่งพูดคุยกัน กลับเข้าข่ายความผิดตามความคิดของคุณสุวิทย์ และสิ่งหนึ่งที่ผมกังวลใจมากไปกว่าเดิมก็คือ การที่คุณสุวิทย์เอาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์แบบนี้แล้วมาแจ้งความ ไม่เป็นคุณต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เลย ตรงกันข้ามจะทำให้เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ จะต้องเอาไปสู้กันในศาล เพราะหากอัยการสั่งฟ้อง ผมก็ต้องไปสู้ในศาลและอธิบายว่าการอภิปรายของผมนั้น ไม่ได้เป็นการยุยงปลุกปั่น ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะข้อเสนอและการพูดคุยของเรานั้นเป็นการรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เอา มาตรา 116 เป็นเครื่องมือในทางการเมืองเพื่อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง”นายปิยบุตร กล่าว

ด้าน นายธนาธร กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับตน นายปิยบุตร และน.ส.พรรณิการ์เท่านั้น แต่ยังเกิดกับนิสิตนักศึกษา ประชาชนทั่วไปที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและอนาคตที่ดีกว่านี้ ตนอยากให้สื่อมวลชนและประชาชนร่วมกันตรวจสอบการใช้อำนาจของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ถ้าอยากจะหาทางออกให้กับประเทศ อย่างแรกที่หยุดและแสดงความจริงใจได้ ก็คือหยุดการยัดเยียดคดีความให้กับกลุ่มคนที่เห็นต่างทางการเมือง หยุดยัดเยียดคดีความให้กับกลุ่มคนที่เรียกร้องประชาธิปไตย ตราบใดที่ไม่หยุดเรื่องนี้ ตนมองไม่เห็นเลยว่าจะหาทางออกร่วมกันได้อย่างไร และมองไม่เห็นเลยว่ารัฐบาลมีความจริงใจที่จะหาทางออก

“สถานการณ์การเมืองไทยวันนี้อยู่ในสถานะที่ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าคุณประยุทธ์เป็นเงื่อนไขที่สำคัญในการหาทางออก ตราบใดที่ยังมีคุณประยุทธ์อยู่ในฐานะนายกรัฐมนตรี การหาทางออกให้กับประเทศไทยจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้ ผมขอฝากพี่น้องประชาชนติดตามการใช้อำนาจของฝ่ายรัฐบาล ว่ามีความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ เหตุและผลของคดีความ มีความสมเหตุสมผลกับผู้ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยหรือไม่ ให้กำลังใจและยืนเคียงข้างนักศึกษาที่ออกมาต่อสู้ทวงคืนอนาคตที่ควรจะเป็นของสังคมไทยให้กับพวกเรา” นายธนาธร กล่าว

ขณะที่ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า อยากสื่อสารไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ว่า อาวุธที่ท่านใช้มาตลอดต่อเนื่องเข้าปีที่ 7 แล้ว คือการยัดคดีความใส่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง อาวุธนี้ไม่ใช่กระสุนอาญาสิทธิ์แล้ว แต่คือกระสุนด้าน และด้านมาหลายนัดแล้ว การดำเนินคดีกับผู้ที่ชุมนุมประท้วง ผู้ที่เป็นแกนนำ ผู้ที่ขึ้นปราศรัย ไม่สามารถหยุดการประท้วงแต่กลับทำให้ลุกลามบานปลายได้ฉันใด การยัดคดีความใส่พรรคอนาคตใหม่ คณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกลก็จะเกิดผลแบบเดียวกัน ไม่อาจทำให้หยุดการทำงานของเรา ในทางตรงกันข้าม ต้องขอบคุณการกระทำของคุณประยุทธ์ที่ยิงกระสุนด้านใส่เรา ซึ่งทำให้เราได้รับเสียงตอบรับ ได้รับแรงสนับสนุน ได้รับความเห็นอกเห็นใจจากพี่น้องประชาชนเพิ่มขึ้น และยิ่งมีคดีความใส่เราประชาชนก็ยิ่งจะเห็นว่า การต่อสู้กับอำนาจอิทธิพลเถื่อนในประเทศนี้ ซึ่งเราต่อสู้กับอิทธิพลเถื่อนระดับประเทศ และคณะก้าวหน้าก็ได้ส่งผู้สมัครนายก อบจ. ที่จะไปต่อสู้กับอิทธิพลเถื่อนในจังหวัด หรือที่เราเรียกว่าบ้านใหญ่ และเราจะยุติการเมืองแบบอำนาจนิยมที่อำนาจนั้นอยู่ในมือคนเพียงไม่กี่คน และจะทำให้อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง