posttoday

"สุรพล"จี้ กกต.ทบทวนคืนตำแหน่ง สส.ใน 15 วัน ขู่ดำเนินคดี

02 ตุลาคม 2563

“สุรพล เกียรติไชยากร” บุก กกต. จี้ ทบทวนคืนตำแหน่ง ส.ส.เขต 8 เชียงใหม่ให้ใน 15 วัน หากไม่ดำเนินการจะแจ้งความดำเนินคดี

เมื่อวันที่ 2 ตค. 63 นายสุรพล เกียรติไชยากร อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 8 เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ทบทวนการให้ใบส้ม และคืนสิทธิการเป็น ส.ส. หลังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่ กกต.ขอให้ศาลพิจารณาสั่งเพิกถอนสิทธิสมัคร และให้นายสุรพลชดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งใหม่

นายสุรพล กล่าวว่า การที่ศาลมีคำพิพากษา แสดงว่าสิ่งที่ กกต.ปฏิบัติกับตน ถือว่าขาดความเที่ยงธรรมและยุติธรรม ที่ กกต.อ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 225 ว่าการวินิจฉัยของ กกต.ถือเป็นที่สุด แต่อย่าลืมว่าในบทบัญญัติดังกล่าว กำหนดว่าการวินิจฉัยของ กกต. ต้องสุจริตและเที่ยงธรรม คำว่าสุจริต เห็นว่ามีความหมายว่า กกต.ต้องมีความรอบคอบในการพิจารณาวินิจฉัย และไม่ทำให้เกิดความเสียหายในการเลือกตั้ง คำว่ายุติธรรม หมายความว่า กกต.จะต้องมีการสืบสวน สอบสวน ตามที่กฎหมายกำหนด

นายสุรพล กล่าวว่า สิ่งที่กกต.ทำในคดีนี้ กลับมีการเร่งรีบวินิจฉัย โดยที่สำนวนถูกส่งมาจาก กกต.เชียงใหม่ ถึงสำนักงาน กกต.ในเวลา 10.02 น. ของวันที่ 23 เมษายน 2562 กกต.ก็พิจารณาเลยในเวลา 15.00 น. ของวันเดียวกัน ทั้งที่ในสำนวนมีหลายเรื่อง จึงจำเป็นต้องมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม ขอให้ กกต.ทบทวน โดยให้เวลากับ กกต. 15 วัน ถ้ายังไม่มีการดำเนินการใด ๆ ก็จะให้ทีมทนายพิจารณาในเรื่องการดำเนินการฟ้อง ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157

“ศาลฎีกายกคำร้อง ก็หมายความว่าให้ผมบริสุทธิ์ หมายความว่าที่ผ่านมาเท่ากับว่า กกต.ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม วินิจฉัยผิดพลาด ดังนั้น ใบส้มที่ให้ไว้ ถือว่าเป็นโมฆะ ทั้ง กกต.กลาง และ กกต.เชียงใหม่ ไม่มีความรอบคอบ พิจารณาด้วยความเร่งรีบ เมื่อผมไม่ผิด กกต.ก็ต้องคืนสิทธิประโยชน์ ให้กับผม และคืนความเป็น ส.ส.ของผม ให้กับพี่น้องเขต 8 เชียงใหม่ “ นายสุรพล กล่าว

ด้านนายปกป้อง กลับวิเศษ ทนายความของนายสุรพล กล่าวว่า การที่กกต.อ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 225 ว่าคำวินิจฉัยของกกต.เป็นที่สุด และคงจะทำอะไรไม่ได้ จริงๆไม่ใช่ เพราะการจะอ้างเช่นนั้นได้การพิจารณาของกกต.ต้องเป็นไปตามหลักของกฎหมาย แต่ในกรณีนี้ศาลได้มีคำวินิจฉัยในประเด็นข้อกฎหมาย ว่าการดำเนินการสืบสวน ไต่สวน ก่อนให้ใบส้ม ก็ไม่ได้เป็นไปตามระเบียบ ว่าด้วยการสืบสวน ไต่สวน ของกกต.เอง และกกต.ชุดนี้ก็เก่งมาก จะวินิจฉัยใบส้มก็ไม่อ่านทั้งที่ตามระเบียบกำหนดว่าก่อนที่จะวินิจฉัยจะต้องมีการศึกษาสำนวน 3-7 วัน แต่กกต.เมื่อได้รับสำนวนในเวลา 10.02 น. วันที่ 23 เม.ย.2562 ก็ประชุมเรื่องนี้ในเวลา 15.00น.จากที่เริ่มประชุมเมื่อบ่าย 13.30 น. รายงานประชุมบ่งชี้ว่ากกต.ไม่อ่านสำนวนเลย แต่เชื่อคำบอกเล่าของกกต.เชียงใหม่ที่ขึ้นเครื่องมาชี้แจง เมื่อพิจารณาเสร็จก็รีบลงมติ ถึงขนาดที่กกต.บางท่านไม่ได้เขียนชื่อของนายสุรพล ลงในใบลงมติด้วยซ้ำ

“ความจริงการที่จะประหารชีวิตนักการเมืองสักคน ก็ควรที่อ่านสำนวนสักหน่อยหรือไม่ ระเบียบก็เขียนไว้ชัดว่าต้องมีการศึกษาสำนวน 3-7 วัน และนี้เป็นการให้ใบส้มใบ แต่นี่ใช้เวลาในการพิจารณาเพียงไม่กี่ชม.การจะให้ใบส้มคนแรกของประเทศทำการอย่างนี้หรือ จากข้อมูลจึงทำให้เรามั่นใจว่ากรณีนี้ไม่เป็นที่สุด เพราะไม่ได้ทำตามที่กฎหมายกำหนด”

นอกจากนี้ตอนที่ยื่นต่อศาลฎีกา กกต.ยังเอาข้อเท็จจริงนอกสำนวน มาเขียนอ้างว่า นายสุบิน ให้การว่าหลังพระได้รับซองเงินจากนายสุรพลแล้ว นายสุบิน เขียนชื่อนายสุรพล ลงบนซองเงิน นายสุรพล อยู่ในเหตุการณ์และไม่ได้คัดค้าน แต่ข้อเท็จจริงในการไต่สวนมีเพียงว่า เมื่อพระได้รับซองแล้ว นายสุรพล ก็ได้เดินทางกลับ และไม่มีพยานคนใดเห็นว่านายสุรพล อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งศาลก็รับฟังข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ จากการที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาเช่นนี้ จึงอยากให้กกต.ทบทวนเสียก่อน เพราะกกต.ถือเป็นสถาบันหลักของประเทศจึงอยากให้กกต.วางบรรทัดฐานว่าเมื่อวินิจฉัยผิดก็แก้ไขได้ แต่หากเพิกเฉยและยังคงให้เลขาฯหรือรองเลขาฯ ออกมาชี้แจงได้เพียงเท่านี้ก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย เพราะเวลานี้นายสุรพล ได้รับการกดดันจากพี่น้องเขต 8 เชียงใหม่ ต้องได้กลับมาเป็นส.ส. อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่า แม้กฎหมายจะไม่ได้เขียนแน่ชัดว่าให้กกต.สามารถทบทวนได้ แต่ส่วนตัวเห็นว่าการกระทำนั้นมันถึงที่สุดและถูกลบล้างไปแล้ว ก็น่าจะยึดกฎหมายพื้นฐานทั่วไป เฉกเช่นเดียวระเบียบทางการปกครองที่หากมีความผิดพลาดก็แก้ไขได้ “เมื่อข้อเท็จจริงใดที่ผิดพลาดก็สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ ด้วยตัวผู้ที่ออกกคำสั่ง โดยหลักพื้นฐาน เราใช้หลักพื้นฐานในกรณีนี้ เหมือนกับที่กกต.อ้างว่าถึงที่สุด เพราะการถึงที่สุดตามความเป็นจริงแล้ว ตามมาตรา 224 คำว่าถึงที่สุดหมายความว่าเป็นที่สุดในกระบวนการตอนนั้น หมายความว่าคุณจะไปขอคุ้มครองชั่วคราว หรือไม่อุทธรณ์คำสั่ง เพื่อให้ตัวเองไปเลือกตั้งทำไม่ได้ เรื่องนี้ถึงแม้ไม่มีกฎหมายเฉพาะ แต่สามารถใช้หลักพื้นฐานได้” ทนายความกล่าว