posttoday

"ก้าวไกล"จี้"บิ๊กตู่"ยุบสภาซัดจัดงบ64แบบเดิมๆเหมือนประเทศนี้ไม่มีวิกฤต

03 กรกฎาคม 2563

"ศิริกัญญา" ชำแหละงบ64ไร้ทิศทางกู้วิกฤติโควิด ซัด "ผู้นำ"ต้องปรับทัศนคติมองคนเห็นต่างเป็นศัตรู แนะให้บิ๊กตู่ยุบสภาให้ประชาชนตัดสินกันใหม่

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายพิจารณาร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ. ศ. 2564 ว่า งบประมาณที่ส่งมามีแต่แผนงานเดิม โครงการเดิม เป้าหมายเดิม ตัวชี้วัดเดิม แล้วจะทำให้ประเทศแก้ปัญหาได้อย่างไร

"งบประมาณที่ทำมาเหมือนประเทศนี้ไม่มีวิกฤต นอกจากคำสวยหรูก็ไม่มีแผนงานที่นำประเทศออกจากวิกฤต หลายแผนควรเลื่อนออกไป หรือไม่ควรมีด้วยซ้ำ และเป็นการถอดแบบเดิมทั้งดุ้น ไม่เปลี่ยนโครงการ และเป้าหมาย ซึ่งเป็นความผิดตั้งแต่ต้น งบประมาณแบบนี้จะตอบโจทย์วิกฤตได้อย่างไร เมื่อยังมองความมั่นคงแบบเดิมคือทหารมากกว่าความมั่นคงทางสุขภาพของประชาชน ถ้าหยุดซื้ออาวุธสักปีสองปีก็ไม่ได้กระทบอะไร "น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

ขณะเดียวกัน อาวุธเก่าไม่ได้ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่มั่นคง แต่ประชาชนจะรู้สึกไม่มั่นคงที่อาวุธใหม่ๆ อยู่ในมือของผู้นำที่มีความคิดเก่าๆ มองประชาชนที่เห็นต่างเป็นศัตรู" ความมั่นคงตอนนี้คือประเทศที่มีวัคซีนและบริการสาธารณสุขที่เพียงพอ

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า การแถลงงบประมาณต่อสภาคือการแถลงนโยบายต่อประชาชนว่าจะพาประเทศไปทางไหน แล้วทุกคนจะยอมรับร่าง พ.ร.บ.ที่ไม่รู้สึกรู้สาว่าประเทศกำลังอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจ และไม่เคารพประชาชนที่เป็นรเจ้าของเงินที่ต้องการความเชื่อมั่นและความช่วยเหลือ ร่าง พ.ร.บ.ที่ถูกมันตราสังจากยุทธศาสตร์ชาติจนขยับไม่ได้แก้ไขปัญหาประเทศไม่ได้ หรือจะยอมรับร่าง พ.ร.บ. ที่นายกรัฐมนตรีขาดภาวะผู้นำที่ไม่กล้าทุบโต๊ะให้ข้าราชการกลับไปทำใหม่เมื่อรื้อสองรอบแล้วยังทำได้แค่นี้

อย่างไรก็ตามไม่เห็นเหตุผลใดเลยที่จะยอมรับนอกจากจะรื้อใหม่โดยไม่เห็นเค้าเดิมเลย แต่ทำไม่ได้ในชั้นกรรมาธิการ ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้จึงไม่มีความชอบธรรมใดในการบริหารประเทศ บริหารงบประมาณและเศรษฐกิจ ในเมื่อไม่เห็นหัวประชาชนไม่เคารพประชาชนที่เป็นเจ้าของเงนิ ตนคิดว่าไม่ควรแค่ปรับ ครม. แต่ต้องย้อนไปถามประชาชนอีกครั้งว่าต้องการให้นายกรัฐมนตรีปัจจุบันบริหารประเทศหรือไม่ ต้องการนโยบายแบบไหนที่จะพาประเทศฝ่าวิกฤตไปได้ พรรคก้าวไกลพร้อมที่จะขอมติจากประชาชน สิ่งที่อยากให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพราะไม่ทันใจประชาชน คือตัวนายกรัฐมนตรี แต่แทนที่จะตระหนัก กลับดึงเอาสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมาหกษัตริย์ มากลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง

"ดิฉันคิดว่าท่านควรต้องปรับทัศนคติที่คิดว่าคนที่เห็นต่างจากท่านคือพวกชังชาติ เป็นพวกไม่หวังดี เลือกป้ายสีความคนที่คิดต่างจากท่านคือพวกที่คิดร้ายต่อสถาบันหลักของชาติ สิ่งที่ประชาชนรอการเปลี่ยนแปลงมาตลอด 6 ปีแต่ไม่ทันใจจริง คือตัวนายกรัฐมนตรี แต่เราจะรอต่อไปไม่ได้แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ท่านควรต้องยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน พรรคก้าวไกล พร้อม"น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ตอนนี้คนงานในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ กำลังจะตกงาน และคนที่จบใหม่กำลังจะหางานมากขึ้นในอนาคต นักท่องเที่ยวที่หายไปทำให้ SME อีกกว่าล้านรายจะปิดตัวลง คำถามคือแล้วงบประมาณฉบับนี้จะทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างไร จะทำให้การจ้างงานเพิ่มขึ้นอีกกี่ตำแหน่ง คนที่กำลังจะกลับบ้านถามว่าจะมีทางเลือกอย่างไรให้เขาบ้าง

ตอนนี้รัฐบาลจะให้เขาทำอะไรในเมื่องานมันหายาก แรงงานนอกระบบ และผู้ประกอบการ ถามว่ารัฐบาลจะมีสวัสดิการอะไรมารองรับ SMEs อีกหลายล้านรายจะถามว่างบประมาณนี้จะมีสักส่วนหนึ่งใหม่ที่ต่อลมหายใจให้พวกเขา เศรษฐกิจไทยเหมือนเรือแป๊ะที่วิ่งเอื่อยมาตั้งปต่ปีที่แล้ว ประกอบกับโควิดเหมือนมรสุมที่ซัดเข้ามา ดังนั้นเราจึงต้องซ่อมเรือ และปรับหางเสือเรือก่อนที่จะไปไม่ถึงเป้าหมาย ตลอดการชี้แจงของนายกรัฐมนตรีมี 0 คำถ้วนที่พูดถึงการจ้างงาน เมือสักครู่นายกรัฐมนตรีตอบว่าการจ้างงานจะไปอยู่ในแผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่งจะเริ่มผ่านการกลั่นกรองด้วยงบประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยจะมีการจ้างงานเพิ่ม 4 แสนคน แต่จะเพียงพอสำหรับคนที่จะตกงาน 8 ล้านคนหรือไม่

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า งบประมาณฉบับนี้มีการสั่งแก้ไปแล้ว 2 ครั้งเพื่อให้เข้ากับวิกฤตโควิดและภัยแล้ง แต่มีเวลาแค่ 7 วัน แล้วมีการแก้ไขเพียงแค่ในกระทรวงเล็กๆ น้อยๆ วงเงินเปลี่ยนแปลงแค่ 5,000 ล้านบาท แต่งบในกระทรวงไม่เปลี่ยนเลย แล้ว ครม. ก็อนุมัติ แล้วเมื่อมีวิกฤตหนักขึ้น ก็สั่งแก้ไขรอบที่สอง โดยหน่วยงานต่างๆ ยอมเฉือนเนื้อทำให้มีงบประมาณ 40,000 ล้านบาทเศษเป็นรายการใหม่ในงบกลางใช้ชื่อว่าค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด แต่นอกจากนี้ยังไม่เห็นการแก้ปัญหาวิกฤตในงบประมาณนี้อีกเลย ทั้งที่ตอนนี้ต้องการวิสัยทัศน์ใหม่ และแผนงานใหม่ๆ

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ชี้แจงว่า ไม่เคยมองคนเห็นต่างเป็นศัตรู แต่มีคนบางกลุ่มเห็นกฎหมายเป็นศัตรู

"หลายคนพูดเก่งผมยอมรับ แต่อย่ามากล่าวหาว่าผมใช้กฎหมายกับผู้เห็นต่าง กฎหมายอยู่เฉยๆ ผมก็นั่งเฉยๆ ใครทำผิดต้องถูกลงโทษ ผมสั่งเขาได้หรือถ้าสั่งได้คงไม่เป็นแบบนี้ แต่ผมไม่ได้สั่ง ระวังตัวบ้างก็แล้วกัน กฎหมายมีผลบังคับใช้กับทุกคน แม้กระทั่งผมก็ยอมรับกฎหมาย วันก่อนเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทยกลับไปย้อนดู ความต้องการของประชาชนไม่มีวันสิ้นสุด ผมเข้าใจ แต่อย่าลืมว่าความต้องการของท่านมีอะไรได้รับการตอบสนองไปแล้วบ้าง พูดอย่างเดียวไม่ได้ ท่านต้องหาวิธี ไม่ใช่ใช้การท้าทาย”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ขณะเดียวกัน นางอมรัตน์ โชควินิจกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จึงลุกขึ้นประท้วงว่า ที่นายกฯ บอกว่าให้ระวังตัวนั้นจะต้องระวังตัวเรื่องอะไรบ้าง เพราะดิฉันจะได้เตรียมตัว ทำให้นายกฯ ลุกขึ้นตอบโต้ทันควันว่า "จะพูดอย่างไม่เข้าใจแบบนี้ไม่ได้ ที่ตนบอกให้ระวังตัวคือระวังตัวในเรื่องของข้อกฎหมายที่อาจจะทำผิดได้ ตนก็ระวังของตน ท่านก็ต้องระวังของท่าน ความหมายของตนคือแค่นี้ ไม่ได้ไปขู่อะไรท่าน เข้าใจไหม ถ้าท่านไม่ได้ทำผิดอะไรจะกลัวอะไร" เมื่อนายกฯ พูดจบก็เดินออกไปจากที่นั่งทันที

ด้านนางอมรัตน์ ตอบสวนว่า หากมีคนข้างบ้านมาพูดกับดิฉันว่าให้ระวังตัวเอาไว้ ดิฉันก็ตีความได้ว่าเป็นการข่มขู่ ทำให้นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ทำหน้าที่เป็นประะานการประชุม เบรกว่า มันจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่ ทำให้นางอมรัตน์ สวนกลับว่า “อ๋อดิฉันเข้าใจผิดใช่ไหมคะ งั้นท่านนายกฯ ก็ระวังตัวไว้ด้วยก็แล้วกัน” นายศุภชัย จึงตอบโต้ว่า “อ๋องั้นก็แปลว่าต่างฝ่ายต่างบอกให้ระวังตัวก็ถือว่าจบแล้วนะ”

ขณะที่นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคกล้าวไกล ลุกขึ้นประท้วงประธานที่ประชุมว่า "ขอให้ประธานควบคุมการประชุมให้เป็นไปได้ด้วยดี นายกฯ พูดพาดพิงและหันมาทางพวกตนหลายครั้ง พวกผมก็คนธรรมดา โดนขู่มากๆ ก็ตกใจ ขอให้ประธานควบคุมการพูดของนายกฯ ด้วย" ทำให้นายศุภชัย ชี้แจงว่า "ผมฟังอยู่ นายกฯ พูดถึงให้ระมัดระวัง ใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมาย ผมไม่ได้ปกป้องนายกฯ แต่ไม่อยากให้เข้าใจผิดซึ่งกันแล้วกัน"